ทำเนียบขาวเลื่อนวัน ประยุทธ์ หารือ ทรัมป์ ให้เร็วขึ้น
ทำเนียบขาวมีแถลงการณ์แก้ไขเกี่ยวกับวันที่ซึ่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะพบหารือกับ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จากวันที่ 3 ต.ค. ที่ทำเนียบขาวเป็นวันที่ 2 แทน ขณะที่กำหนดจะเดินทางเยือนสหรัฐฯ ของนายกรัฐมนตรีของไทยตามคำเชิญของผู้นำสหรัฐ ฯ คือระหว่างวันที่ 2 - 4 ต.ค.นี้
แถลงการณ์ล่าสุดของทางการสหรัฐฯ ระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีของไทยจะเข้าพบหารือกับประธานาธิบดีของสหรัฐฯในวันที่ 2 ต.ค. ไม่ใช่ในวันที่ 3 ต.ค. ตามที่เคยมีการออกแถลงการณ์ไปแล้วก่อนหน้านี้
"ผู้นำทั้งสองชาติจะหาหรือแนวทางในการสร้างความเข้มแข็ง และขยายความสัมพันธ์แบบทวิภาคี และพัฒนาความร่วมมือในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก" แถลงการณ์ที่เผยแพร่ในวันที่ 28 ก.ย. (ตามเวลาท้องถิ่น)
เมื่อวันที่ 26 ก.ย. ที่ผ่านมา พล.ท. วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า ในระหว่างวันที่ 2 - 4 ต.ค. นี้นายกรัฐมนตรีของไทยมีกำหนดการเดินทางเยือนสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการ ตามคำเชิญของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดยมีผู้บริหารระดับสูงของไทยร่วมเดินทาง เช่น นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และพล.อ. อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม
สำหรับประเด็นหารือ ได้แก่ ความร่วมมือทั้งด้านความมั่นคง ด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และสถานการณ์ในระดับภูมิภาค
ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและสหรัฐฯค่อข้างเย็นชาภายหลังคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช) นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ เข้ายึดอำนาจจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง เมื่อ พ.ค. 2557 สหรัฐฯระงับเงินช่วยเหลือทางทหาร ปรับลดระดับสถานการณ์การค้ามนุษย์ของไทยจากบัญชีที่ 2 ที่ต้องจับตามอง (เทียร์ ทู วอทช์ลิสต์)ในปี 2556 มาเป็น บัญชีประเภท 3 (เทียร์ 3) ในปี 2557 และ 2558 ก่อนยกระดับกลับมาสู่บัญชีที่ 2 ที่ต้องจับตามอง ในปี 2559 และ 2560 เทียร์ 2.5 เป็นระดับเทียร์ 3 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุด
หวังกดดันไทย ต่อวิกฤตคาบสมุทรเกาหลี
อย่างไรก็ตาม นโยบายของสหรัฐฯ ดูเหมือนจะเปลี่ยนแปลงภายหลังจากนายทรัมป์ เป็นผู้นำของประเทศ โดยเมื่อวันที่ 30 เม.ย. ได้โทรหาพล.อ. ประยุทธ์ เอ่ยปากเชิญมาเยือนกรุงวอชิงตันในครั้งนั้น ก็เพื่อกระชับสัมพันธ์และขอการสนับสนุนในศึกพิพาทกับเกาหลีเหนือ
ในประเด็นเกี่ยวเนื่องกับคาบสมุทรเกาหลี สำนักข่าวเอเอฟพีและรอยเตอร์รายงานตรงกันก่อนหน้านี้ว่า สหรัฐฯ มีความต้องการให้ไทยตัดท่อน้ำเลี้ยงทางการเงินของเกาหลีเหนือด้วยการปราบปรามบริษัทหลายแห่งของเกาหลีเหนือที่ใช้ไทยเป็นศูนย์ในการทำการค้าผ่านธุรกิจที่จัดตั้งขึ้นบังหน้า ซึ่งเอเอฟพี อ้างข้อมูลจากระทรวงต่างประเทศของไทยว่ามูลค่าการค้าระหว่างไทยและเกาหลีเหนือระหว่างปี 2552-2557 ยังคงเติบโตขึ้นเกือบ 3 เท่า เป็นมูลค่า 126 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ ราว 4.3 พันล้านบาท
หากพล.อ.ประยุทธ์ เดินทางไปสหรัฐฯ จะถือเป็นผู้นำอาเซียนคนที่ 3 ที่เข้าพบประธานาธิบดีทรัมป์ หลังจากนายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัค นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และนายเหงียน ซวน ฟุก นายกรัฐมนตรีของเวียดนาม ในปีนี้ และจะมีขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และเกาหลีเหนือซึ่งตอนนี้ยังทำ ในสงครามน้ำลาย ระหว่างกัน
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา นายทรัมป์ ได้ขู่เกาหลีเหนือผ่านข้อความทางทวิตเตอร์ว่า "เพิ่งได้ยินเรื่องที่รัฐมนตรีต่างประเทศเกาหลีเหนือพูดในที่ประชุมยูเอ็น หากคำพูดของเขาสะท้อนความคิดของมนุษย์จรวดน้อย พวกเขาคงอยู่ได้อีกไม่นาน!"
บทความนี้ประกอบด้วยเนื้อหาจาก Twitter เราขอความยินยอมจากคุณก่อนใช้คุกกี้ หรือเทคโนโลยีอื่น ๆ บันทึกอะไรลงไป คุณอาจต้องอ่านนโยบายคุกกี้ของ Twitter และนโยบายความเป็นส่วนตัวของ Twitter ก่อนให้ความยินยอม หากต้องการอ่านเนื้อหานี้ โปรดเลือก "ยินยอมและไปต่อ"
สิ้นสุด Twitter โพสต์
ในขณะที่เมื่อวานนี้ (25 ก.ย.) เกาหลีเหนือกล่าวหาสหรัฐฯ ว่าประกาศสงคราม พร้อมจะยิงเครื่องบินทิ้งระเบิดที่โฉบเข้าใกล้
คาดปรับดุลการค้า ผสานความร่วมมือทางทหาร
ประเด็นสำคัญอีกประการหนึ่งที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อทางด้านเศรษฐกิจการค้า การลงทุน ระหว่างไทยและสหรัฐฯ คือ การที่สหรัฐฯ ขาดทุนการค้ากับไทย โดยในครึ่งแรกของปีนี้ ไทยมียอดเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯในครึ่งแรกของปี 2560 ลดลงมาที่ 4.82 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ จากยอด 6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในช่วงเดียวกันของปีก่อน
เรื่องนี้เป็นประเด็นร้อน เมื่อ มี.ค.ที่ผ่านมา ที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ลงนามคำสั่งพิเศษ เพื่อดำเนินการตรวจสอบการขาดดุลการค้ากับ ไทย และอีก 15 ประเทศ โดยในปี 2559 ไทยได้ดุลการค้าสหรัฐราว 1.89 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ นับเป็นอันดับที่ 11 ของประเทศที่ได้ดุลการค้ากับสหรัฐฯ
ในเรื่องดังกล่าว ที่ผ่านมารัฐบาลไทยได้ทำการศึกษาผลกระทบเกี่ยวกับมาตรการต่างๆ ภายใตการนำของกระทรวงพาณิชย์และกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องมาอย่างต่อเนื่อง
ที่ปรึกษาระดับสูงด้านความมั่นคงของรัฐบาลไทย เปิดเผยกับบีบีซีไทยว่า อาจมีความเป็นไปได้ที่รัฐบาลจะให้แนวทางการทหาร เช่น การซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ในการช่วยในการลดปัญหาการขาดดุลการค้าระหว่างประเทศได้
รายงานข่าวของบีบีซีไทยเรื่อง "ทิลเลอร์สันเยือนไทย: เรา กับ เขา หวัง อะไรกัน" ได้รวบรวมข้อมูลการซื้อขายอาวุธยุทโธปกรณ์ไว้ว่า นับตั้งแต่การรัฐประหารปี 2549 การค้าขายอาวุธระหว่างไทยและสหรัฐฯ คิดเป็นมูลค่ามากกว่า 960 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ ประกอบไปด้วย เฮลิคอปเตอร์ UH60 แบล็กฮอว์ค, ฮ.UH 72 ลาโกตา, ขีปนาวุธ ESSM, ปรับปรุงเครื่องบิน F-16, เรือเอนกประสงค์และตอปิโด
แม้แต่ตอนเกิดรัฐประหารแล้วมีการตัดความช่วยทางทหารส่วนหนึ่งและสมัยโอบามาวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลทหารอย่างหนัก สถานทูตสหรัฐฯ ให้ข้อมูลว่า หลังปี 2557 สหรัฐฯ ขายยุทโธปกรณ์ให้ทหารไทยผ่าน Foreign Military Sale (FMS) มีมูลค่ามากถึง 380 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ เฉพาะปีนี้ ไทยและสหรัฐฯ ทำความตกลงซื้อขายอาวุธกันไปแล้วมูลค่าถึง 133 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ รวมทั้ง ขีปนาวุธ Harpoon Block II และเฮลิคอปเตอร์แบลกฮอว์คที่อยากจะได้มาเพิ่มเติมเป็นมานาน นี่ยังไม่พูดถึงแผนใหม่ล่าสุดที่จะปรับปรุงเครื่องบินรบเอฟ 5 อีกด้วย
อะไรคือ ปฏิกิริยาตอบโตสหรัฐฯ ต่อไทยหลังรัฐประหาร
- หลังรัฐประหาร 22 พ.ค. 2557: นำไปสู่การทบทวนความร่วมมือทางการทหารระหว่างไทย-สหรัฐฯ ตามคำเปิดเผยของโฆษกกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ทั้งการซ้อมรบร่วมทางทะเล CARAT 2014, คอบร้า โกล์ด, การระงับเงินช่วยเหลือทางทหาร ราว 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี เพราะตามกฎหมายสหรัฐฯ ไม่อนุญาตให้ให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศใดๆ ที่กองทัพก่อรัฐประหาร โค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
- 20 มิ.ย. 2557: สหรัฐฯ แถลงรายงานการปฏิบัติด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศต่างๆ ประจำปี 2557 จัดทำโดยกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ โดยปรับลดระดับการค้ามนุษย์ของไทยที่เคยอยู่ในระดับเทียร์ 2.5 เป็นระดับเทียร์ 3 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุด ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมของไทย ทั้งประมง สิ่งทอ ทั้งการส่งออก และการนำเข้า
- 24 มิ.ย. 2557: ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เชิญเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย เข้าพบ เพื่อทำความเข้าใจทุกแง่มุม สหรัฐฯ รับปากสานต่อความร่วมมือทางการทหาร เช่น การฝึกซ้อมรบร่วมและผสม
- 26 ม.ค. 2558: นายแดเนียล รัสเซล ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เข้าพบ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รมว.ต่างประเทศ (ขณะนั้น), ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ, อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ โดยตั้งคำถามถึงการคงไว้ซึ่งกฎอัยการศึก นอกจากนี้ยังไปกล่าวปาฐกถาที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ว่ากรณีที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ออกจากตำแหน่ง "อาจเกิดจากแรงจูงใจทางการเมือง"
- 27 ม.ค. 2558: นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมช.ต่างประเทศ (ขณะนั้น) เรียกนายแพทริค เมอร์ฟี่ อุปทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย เข้าพบ เพื่อแสดงความกังวลใจต่อการแทรกแซงการเมืองภายในไทย