บทวิเคราะห์: มองไซปรัสสะท้อนไทย เจรจารวมชาติหลังแยกกัน 43 ปี
การเจรจาสันติภาพรอบแรกเพื่อรวมประเทศไซปรัส ซึ่งจัดขึ้นที่สวิตเซอร์แลนด์ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ใกล้บรรลุผล หลังแยกกันอยู่ระหว่างคน 2 เชื้อชาติเป็นเวลาถึง 43 ปี แต่ เลขาฯ ยูเอ็น เตือนว่าความสำเร็จจะไม่เกิดในข้ามคืน เพราะยังเหลืออีกหลายปมที่ต้องคลี่คลาย โดยเฉพาะการคงอยู่ของกองทัพตุรกี
นายอันโตนิโอ กูแตร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ (ยูเอ็น) แถลงเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ภายหลังการเจรจาสันติภาพรอบแรกที่จัดขึ้นที่นครเจนีวา โดยระบุว่า เป้าหมายทุกอย่างน่าจะบรรลุได้ หากเครื่องมือทุกอย่างถูกนำมาใช้บังคับ
ชุนชนชาวไซปรัสเชื้อสายกรีซและตุรกีถูกแยกออกจากกันตั้งแต่ปี 2517 หรือกว่า 43 ปีที่ผ่านมา ด้วยเขตกันชน หรือบัฟเฟอร์โซน ที่ทางยูเอ็นจัดตั้งขึ้น ซึ่งในการเจรจาครั้งนี้ ทั้ง 2 ฝ่ายต่างแลกเปลี่ยนแผนที่ในการเจรจาเรื่องเขตแดนใหม่เป็นครั้งแรก และถูกมองว่าเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญที่จะนำไปสู่การทำข้อตกลง ในท้ายที่สุด
"เราใกล้มากๆ ที่จะตกลงกันได้ แต่อย่างเพิ่งคาดหวังว่ามันจะเป็นปาฏิหาริย์หรือจะนำไปสู่การแก้ปัญหาโดยทันที" เลขาฯ ยูเอ็นระบุในการแถลงข่าวที่มีตัวแทนชุมชนชาวไซปรัสทั้ง 2 เชื้อชาติ ได้แก่ นายนิกอส อนาสตาซิอาเดส และนายมุสตาฟา อคินซิ ยืนอยู่เคียงข้าง
ทั้งนี้ อุปสรรคสำคัญในการแก้ปัญหา มีทั้งเรื่องการคืนทรัพย์สินให้กับชาวไซปรัสที่ต้องอพยพจากบ้านเกิดหลายหมื่นคนตั้งแต่เมื่อ 43 ปีก่อน รวมไปถึงคำถามที่ว่าจะยังคงกองทัพตุรกี ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนถึง 30,000 คน ไว้ในตอนเหนือของประเทศต่อไปหรือไม่ภายหลังไซปรัสกลับมารวมประเทศอีก
ในการเจรจาครั้งนี้ รัฐมนตรีต่างประเทศของ 3 ชาติที่ทำหน้าที่ผู้ค้ำประกันความปลอดภัยในไซปรัส ได้แก่ กรีซ ตุรกี และสหราชอาณาจักร ได้เข้ามามีส่วนร่วมด้วย รวมถึงนางเฟเดริกา มอเกรินี่ หัวหน้าฝ่ายนโยบายต่างประเทศของสหภาพยุโรป (อียู) และนายฌอง-โคลด ยุงเกอร์ ประธานคณะกรรมาธิการสหภาพยุโรป โดยคาดว่าการเจรจาจะสิ้นสุดในช่วงสุดสัปดาห์นี้
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ข้อตกลงใดๆ จะมีผลใช้บังคับได้จริง จะต้องผ่านการทำประชามติในประเทศไซปรัสที่จะมีการจัดแยกกันระหว่างชุมชนชาวไซปรัสทั้ง 2 เชื้อชาติเสียก่อน โดยเป้าหมายของทั้ง 2 ฝ่ายตรงกัน คือการแบ่งแยกอำนาจในการปกครองในรูปแบบสหพันธรัฐ ซึ่งทางยูเอ็นก็มองว่านี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดในการรวมประเทศ
อิโมเจน ฟาวเคส ผู้สื่อข่าวของบีบีซี ซึ่งไปทำข่าวการเจรจาครั้งนี้ ระบุว่า เหตุรุนแรงที่แยกประเทศไซปรัสเมื่อปี 2517 ได้ทิ้งแผลที่บาดลึก รวมถึงความหวาดระแวงที่บาดลึกกว่า
ไซปรัสเป็นประเทศที่เป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน อยู่ทางตอนใต้ของประเทศตุรกีและตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศกรีซ มีพื้นที่ทั้งหมด 9,251 ตารางกิโลเมตร (เล็กกว่า จ.นครสวรรค์เล็กน้อย) ได้รับเอกราชจากสหราชอาณาจักรในปี 2503 จน 14 ปี ต่อมา รัฐบาลไซปรัสขณะนั้น ถูกยึดอำนาจโดยนายทหารที่มีรัฐบาลกรีซหนุนหลัง และจัดตั้งรัฐบาลที่มีแนวคิดชาตินิยมซึ่งสนับสนุนคนเชื้อสายกรีก ผลปรากฎว่า เพียง 5 วันหลังจากนั้น รัฐบาลตุรกีก็ส่งกองทัพเข้ามาแทรกแซง และยึดครองทิศเหนือของประเทศไปถึงหนึ่งในสามจนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้ ประชากรไซปรัสมีจำนวนทั้งสิ้น 1.13 ล้านคน เป็นคนเชื้อสายกรีซ 77% และเชื้อสายตุรกี 18% ส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ทางตอนใต้ของประเทศ
การแทรกแซงจากต่างชาติ จนนำไปสู่การรัฐประหาร และ การแยกประเทศ เป็นบทเรียนสำหรับไทย ที่เผชิญกับความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศ มาตั้งแต่ปี 2547 ทำให้มีผู้เสียชีวิตไปแล้วอย่างน้อย 6,500 คน และบาดเจ็บอย่างน้อย 12,000 ราย ทั้งนี้ ได้มีความพยายามเจรจากับผู้ก่อความไม่สงบตั้งแต่รัฐบาลชุดที่แล้ว โดยมีประเทศมาเลเซียเป็นผู้ประสานงาน แต่ผลการเจรจาก็ยังไม่มีความคืบหน้ามากนัก
ล่าสุด รัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้มีมติแต่งตั้งผู้แทนพิเศษของรัฐบาล หรือที่เรียกกันว่า "ครม.ส่วนหน้า" ที่มี พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นหัวหน้า เพื่อคอยประสานการแก้ปัญหาความไม่สงบในภาคใต้ให้มีเอกภาพมากขึ้น
จุดเปราะบางในการเจรจารวมไซปรัส
- ทรัพย์สิน จะเกิดอะไรขึ้นกับทรัพย์สินที่ชาวกรีซเชื้อสายไซปรัสทิ้งไว้ตั้งแต่ปี 2515 พวกเขามีสิทธิที่จะได้กลับไปอยู่ในบ้านของตัวเองหรือไม่ หรือถ้าจะเปลี่ยนเป็นได้รับเงินชดเชย คำถามก็คือเท่าไรถึงจะเหมาะสม
- ความมั่นคง ชาวไซปรัสเชื้อสายตุรกีได้รับการยืนยันความปลอดภัยได้อย่างไร หากกองทัพตุรกีที่มีกำลังกว่า 30,000 นาย ต้องออกจากประเทศไป หรือจะทิ้งกำลังบางส่วนไว้ก่อน ชาวไซปรัสเชื้อสายกรีซมองว่านี่คือกองกำลังที่เข้ามายึดครอง คำถามก็คงจะให้รัฐบาลตุรกีเข้ามาแทรกแซงภายในไซปรัสได้มากน้อยแค่ไหน
- อำนาจและบทบาทของอียู การเจรจาครั้งนี้ดำเนินขึ้นโดยการหมุนเวียนตัวประธานไปเรื่อยๆ คำถามก็คือแล้วมันจะได้ผลจริงหรือไม่ และประธานาธิบดีไซปรัสเชื้อสายตุรกีจะสามารถเป็นตัวแทนประเทศเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำสหภาพยุโรปได้จริงหรือ เมื่อเวลามาถึง
- เขตแดน เขตแดนแค่ไหนที่ชาวไซปรัสเชื้อสายกรีซสมควรจะได้รับเพื่อสะท้อนกับข้อเท็จจริงที่ว่านี่คือกลุ่มคนส่วนใหญ่ของประเทศ กองกำลังรักษาสันติภาพของยูเอ็นประเมินว่า ชาวไซปรัสเชื้อสายกรีซ 165,000 คน ต้องหลบหนีหรือถูกขับไล่จากภาคเหนือ เช่นเดียวกับที่ชาวไซปรัสเชื้อสายตุรกี 45,000 คน ต้องย้ายออกจากภาคใต้ แม้ผู้เกี่ยวข้องหลายฝ่ายจะระบุว่า ตัวเลขที่แท้จริงน่าจะสูงกว่านี้
ย้อนอดีตแห่งปัญหาของประเทศไซปรัส
- ปี 2498 ชาวไซปรัสเชื้อสายกรีซเริ่มต้นการรวมชาติ ภายหลังที่ประเทศกรีซเริ่มต้นสงครามกองโจรเพื่อต่อต้านการปกครองของสหราชอาณาจักร
- ปี 2503 เอกราชจากสหราชอาณาจักร ทำให้เกิดการแบ่งอำนาจขึ้นในประเทศไซปรัส ระหว่างคนเชื้อสายกรีซที่เป็นคนส่วนใหญ่ กับคนเชื้อสายตุรกีที่เป็นคนส่วนน้อย
- ปี 2506-2507 เกิดความรุนแรงขึ้นภายในประเทศไซปรัส
- ปี 2517 ประธานาธิบดีไซปรัส อาร์กบิช็อป มาการิออส ถูกขับไล่ภายหลังการยึดอำนาจ ที่มีรัฐบาลทหารของประเทศกรีซหนุนหลัง ประเทศตุรกีก็ส่งกองทัพเข้ามายึดครองด้านเหนือของประเทศไซปรัสไปถึง 1 ใน 3 จนถึงปัจจุบัน
- ปี 2526 ราอุฟ เดนก์ทาซ ประกาศแยกประเทศไซปรัสทางตอนเหนือ โดยให้ชื่อว่า "สาธารณรัฐตุรกีแห่งไซปรัสตอนเหนือ" ซึ่งถูกรับรองโดยประเทศตุรกี เพียงประเทศเดียว
- ปี 2547 ประเทศไซปรัสที่ยังถูกแบ่งเป็น 2 ส่วน เข้าร่วมอียู ภายหลังแผนสันติภาพที่เสนอโดยยูเอ็น ได้รับการสนับสนุนโดยชาวไซปรัสเชื้อสายตุรกี แต่ถูกปฏิเสธโดยชาวไซปรัสเชื้อสายกรีซ