แผนเศรษฐกิจทรัมป์: ที่เห็นและจะเป็นไป

ประธานาธิบดีทรัมป์

ที่มาของภาพ, Getty Images

คำบรรยายภาพ, ประธานาธิบดีทรัมป์จะเจรจาการค้ากับนางเทรีซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษในวันศุกร์นี้

เว็บไซต์ของทำเนียบขาวปรับโฉม ภายใต้ประธานาธิบดีคนใหม่ พร้อมกับประกาศนโยบายในหลายเรื่องที่ตรงข้ามกับของบารัค โอบามา

โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศตั้งแต่ตอนหาเสียงว่าจะ "ทำให้อเมริกายิ่งใหญ่อีกครั้ง" ทันทีที่เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 45 เขาก็เริ่ม "จัดการ" กับโครงการที่เป็นตำนานของ อดีตประธานาธิบดี บารัค โอบามา ทันทีตั้งแต่ การให้สหรัฐฯ ถออนตัวออกจาก ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (ทีพีพี) และระบบหลักประกันสุขภาพ เชื่อกันว่า การเปลี่ยนแปลงนโยบายเศรษฐกิจอีกหลายประการ จะตามมาอย่างฉับไว

ช่วงรณรงค์หาเสียง นายทรัมป์ใช้โวหารที่ปลุกเร้า ครั้นเมื่อได้เข้ามาอยู่ในทำเนียบขาวแล้ว เราจะได้เห็นอะไรเกิดขึ้นบ้าง?

การผ่อนปรนด้านกฎเกณฑ์และกฎหมาย

พิธีสาบานตนเสร็จสิ้นลงไม่ทันไร นายเรนซ์ พรีบัส หัวหน้าเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาว ก็สั่งระงับการออกกฎระเบียบใหม่ๆ ยกเลิกระเบียบราชการที่จุกจิกไป ทั้งนี้เพราะตอนรณรงค์หาเสียง นายทรัมป์เคยสัญญาไว้แล้วว่าจะลดละระเบียบกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่เป็นภาระต่อการทำธุรกิจ

แต่การระงับกฎหมายใหม่ ๆ เอาไว้ก่อน ก็เป็นเรื่องปกติเมื่อประธานาธิบดีคนใหม่เข้ามาดำรงตำหน่ง

กิจกรรมที่น่าถกเถียงกันมากที่สุดของประธานาธิบดีทรัมป์คือการระงับกฎหมายการบริการสุขภาพของประธานาธิบดีโอบาม่า ที่เรียกกันว่า "โอบาม่าแคร์" ตอนนี้ยังไม่ชัดเจนว่าเรื่องนี้จะส่งผลอย่างไรต่อคนที่ทำประกันสุขภาพและบริษัทประกันเอกชน แต่ประธานาธิบดีคนใหม่สาบานว่าจะยกเลิกโครงการนี้และหาโครงการอื่นมาทดแทน

สำหรับกฎหมายอื่น ๆ ที่โดนระงับไว้ ตอนนี้จะมีการพิจารณาทบทวน แต่ก็คงจะไม่เพียงแค่นั้น นายวิลเบอร์ รอสส์ สมาชิกคนหนึ่งในคณะรัฐมนตรีของนายทรัมป์ กล่าวไว้เมื่อปีที่แล้วว่า การยกเลิกกฎระเบียบจะช่วยให้ธุรกิจประหยัดเงินได้ถึงปีละสองแสนล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยเขายกเรื่องกฎข้อห้ามเกี่ยวกับสุขภาพและความปลอดภัยกับอุตสาหกรรมถ่านหินขึ้นมากล่าวว่าควรยกเลิก

การค้า

หากจะมีเรื่องใดสักเรื่องที่ประธานาธิบดีทรัมป์แสดงออกอย่างชัดเจน ก็คงจะได้แก่เรื่องที่เขาเชื่อว่าการค้าระหว่างประเทศในปัจจุบันดำเนินไปโดย "เห็นแก่ประโยชน์ของคนวงในและชนชั้นนำในวอชิงตันยิ่งกว่าของพลเมืองชายและหญิงของประเทศนี้ที่ทำงานอย่างหนัก"

บริษัทรถยนต์

ที่มาของภาพ, AFP

คำบรรยายภาพ, โดนัลด์ ทรัมป์ ตำหนิอย่างรุนแรงต่อบริษัทรถยนต์ที่ไปผลิตรถในเม็กซิโก

เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่าจะมีการเจรจาขอเปลี่ยนแปลงข้อตกลงด้านการค้าเสรีในทวีปอเมริกาเหนือ (นาฟต้า) ที่ใช้มาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2537 กับผู้นำแคนาดาและผู้นำเม็กซิโก

นายทรัมป์กล่าวว่าการเจรจากับประธานาธิบดีของเม็กซิโกจะครอบคลุมถึงเรื่องการย้ายถิ่นเข้าประเทศและความมั่นคงของชายแดน สอดคล้องกับคำสัญญาก่อนได้รับเลือกตั้งว่าจะสร้างกำแพงชายแดนทิศใต้ของสหรัฐฯ

เมื่อวันจันทร์นี้ เราได้เห็นผลงานที่เป็นรูปธรรมชิ้นแรก คือ การใช้อำนาจประธานาธิบดีสั่งให้สหรัฐอเมริกาถอนตัว ออกจาก ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก หรือ ทีพีพี ซึ่งเป็นข้อตกลงทางการค้าที่นายโอบามาใช้เวลาหลายปีเจรจาต่อรองกับอีก 11 ชาติ ในแถบแปซิฟิก ตั้งแต่ประเทศญี่ปุ่นไปจนชิลี และเป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย "หันสู่เอเชีย" ของนายโอบามา ซึ่งคิดขึ้นมาเพื่อคานอำนาจจีนที่ผงาดยิ่งขึ้นทุกที

ธนาคารยักษ์ใหญ่

ธนาคารยักษ์ใหญ่ในอเมริกาต่างยินดีปรีดา นับตั้งแต่ทราบผลการเลือกตั้งประธานาธิบดี เพราะอุตสาหกรรมการเงินคือหนึ่งในธุรกิจที่จะได้ประโยชน์เต็มๆ จากการลดเลิกกฎระเบียบจุกจิก จะทำให้ธนาคารมีช่องทางในการหารายได้มากขึ้น

นายสตีเว่น มนูชิน ว่าที่รัฐมนตรีคลัง

ที่มาของภาพ, ABC News

คำบรรยายภาพ, เรายังไม่ทราบมากนักว่านายสตีเว่น มนูชิน ว่าที่รัฐมนตรีคลังของรัฐบาลนายทรัมป์ มีแผนจะทำอะไรบ้าง

สตีเวน มนูชิน ซึ่งคงจะได้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ประกาศไว้ว่าจะผ่อนคลายกฎหมาย "ด็อดด์-แฟรงค์" เพื่อควบคุมจำกัดกิจกรรมของธนาคารยักษ์ใหญ่หลังมี่ส่วนทำให้เศรษฐกิจพังลงเมื่อปี 2551 การผ่อนคลายกฎหมายย่อมหมายถึงการทำกำไรเพิ่มขึ้นของธุรกิจการเงินในตลาดหุ้นวอลล์สตรีต

แม้นายมนูชินยังไม่ได้ดำรงตำแหน่งอย่างเป็นทางการ อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมานี้อาจต้องใช้เวลา แต่บรรดานายใหญ่ของธนาคารยักษ์เหล่านั้นก็มีความหวังถึงอนาคตอันสดใสในสมัยของประธานาธิบดีทรัมป์

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างทันอกทันใจ คือ ในชั่วโมงแรกของการรับตำแหน่ง ทรัมป์สั่งเลิกนโยบายล่าสุดของรัฐบาลโอบามา ที่ต้องการช่วยลดภาระค่าจำนองบ้านของคนหลายล้านคน และ สมาชิกพรรครีพับลิกันหลายคนออกมา แสดงความกังวลแล้วว่าการเลิกนโยบายนี้จะทำให้เงินกองทุนประกันสินเชื่อที่อยู่อาศัยลดลง

กิจการพลังงานและโครงสร้างพื้นฐาน

รายการสำคัญลำดับต้นๆที่รัฐบาลนี้ต้องการทำ คือ "แผนพลังงาน" สำหรับนโยบาย "อเมริกาต้องมาก่อน" ตามแผนนี้ ทรัมป์ต้องการให้ดำเนินการนำเชลออยล์หรือน้ำมันจากชั้นหินดินดาน และขุดแหล่งแก๊สสำรองขึ้นมาใช้ พร้อมพลิกฟื้นอุตสาหกรรมถ่านหินที่ "กำลังเจ็บ" ให้กลับมา

การขุดเจาะน้ำมันแหล่งใหม่ ๆ จะกระตุ้นการจ้างงาน และภาษี

ที่มาของภาพ, Getty Images

คำบรรยายภาพ, รัฐบาลใหม่บอกว่าการขุดเจาะน้ำมันแหล่งใหม่ ๆ จะกระตุ้นการจ้างงาน และภาษี

รัฐบาลประกาศว่าค่าสัมปทานจากการขุดน้ำมันจะนำไปใช้จ่ายเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานตามที่สัญญาไว้ เช่น ถนน โรงเรียนและสะพาน โดยละเลยเรื่องที่จะพูดถึง สภาวะอากาศเปลี่ยนแปลง อันเป็นยุทธศาสตร์หลักในนโยบายของรัฐบาลนายโอบามา เรื่องราวด้านสิ่งแวดล้อม ถูกกล่าวถึงเพียงว่า องค์การพิทักษ์สภาพแวดล้อมของรัฐ (Environmental Protection Agency) มี "พันธกิจหลักในการพิทักษ์สภาพอากาศและน้ำ"

การจ้างงานและเศรษฐกิจ

เว็บไซต์ของทำเนียบขาวพรรณนาภาพที่น่าหดหู่ของเศรษฐกิจอเมริกาในอดีต ชี้ไปยังงานด้านการผลิตในภาคอุตสาหกรรมที่หายไปและการฟื้นตัวที่ "เชื่องช้า"นับจากปี 2551 (ในสมัยโอบามา) ทว่า ภายใต้รัฐบาลทรัมป์ เขามีแผนจะสร้างงานใหม่ 25 ล้านตำแหน่งให้ชาวอเมริกัน และทำให้ประเทศหวนคืนสู่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจปีละ 4% โดยใช้การลดภาษีในทุกภาคส่วน เพื่อกระตุ้นการลงทุน แต่ ไม่บอกว่า จะหาเงินจากที่ใดมาชดเชยรายได้ภาษีที่ลดลง

ดีทรอย
คำบรรยายภาพ, บางส่วนของประเทศ เช่นที่นี่ในดีทรอย สะท้อนถึงความเสื่อมโทรมของอุตสาหกรรมที่เคยรุ่งเรือง

ความกลัว คือ อุปสรรค

แม้รัฐบาลใหม่มองว่าอเมริกาต้องปรับปรุงครั้งใหญ่ ดังที่นายทรัมป์กล่าวไว้ในสุนทรพจน์เมื่อเข้ารับตำแหน่ง บรรยายถึงภาพ "การสังหารหมู่ชาวอเมริกัน" ภาพครอบครัวคนยากจนไม่มีทางได้เงยหน้าอ้าปากและ "โรงงานสนิมกรังที่เกลื่อนกลาดเต็มสุสาน" แต่ที่จริงแล้วสภาพเศรษฐกิจโดยรวมที่ประธานาธิบดีคนใหม่เข้ารับช่วงสานต่อนั้น นับได้ว่าอยู่ในสภาพที่ดีพอควรทีเดียว เกิดการจ้างงานใหม่อย่างต่อเนื่องมาตลอด 75 เดือน อัตราการว่างงานมีเพียง 4.7% ตามสถิติทางการ และเศรษฐกิจก็เติบโตมาเรื่อย ๆ อย่างคงเส้นคงวา

มาถึงตอนนี้ นักลงทุนดูจะรำลึกถึงประโยคเด็ดของอดีตประธานาธิบดีท่านหนึ่ง ผู้กล่าวว่าอันตรายร้ายกาจที่สุดคือความรู้สึกในทางลบ

ดัชนีตลาดหุ้นพุ่งขึ้นหลังชัยชนะของนายทรัมป์ และตอนนี้ชะลอตัวอยู่ในขณะที่ นักลงทุนรอดูเหตุการณ์ นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะดูแคลนได้ เพราะความคาดหวังในทางบวก นับเป็นสมบัติอันมีค่าอย่างสำคัญยิ่งสำหรับประธานาธิบดีคนใหม่ที่มีแผนการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ อย่างถอนรากถอนโคน