ทรัมป์สั่งคุมเข้มพรมแดน หลังศาลไม่รับอุทธรณ์ฟื้นคำสั่งห้ามเข้าสหรัฐฯ
ประธานาธิบดีสหรัฐฯ สั่งคุมเข้มตรวจสอบคนเข้าเมืองโดยระมัดระวังที่สุด หลังศาลไม่รับคำร้องอุทธรณ์จากรัฐบาลให้ฟื้นคำสั่งห้ามพลเมืองจาก 7 ชาติมุสลิมเดินทางเข้าประเทศ
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา ทวีตข้อความแจ้งว่าตนได้สั่งการให้กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิคุมเข้มตรวจสอบคนเข้าเมืองโดยระมัดระวังที่สุด หลังศาลไม่รับคำร้องอุทธรณ์จากรัฐบาล ที่ขอให้ฟื้นคำสั่งห้ามพลเมืองจาก 7 ชาติมุสลิมเดินทางเข้าประเทศ
- ศาลอุทธรณ์ไม่รับคำร้องทรัมป์ขอรื้อฟื้นคำสั่งห้ามคนมุสลิมเข้าสหรัฐฯ
- รู้จัก "เจมส์ โรบาร์ต" ผู้พิพากษาที่กำลังต่อกรกับทรัมป์ กรณีคำสั่งห้ามมุสลิมเข้าสหรัฐฯ
- ทรัมป์ยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลระงับการแบนคนมุสลิมเข้าสหรัฐฯ แล้ว
- ทรัมป์ยืนกรานจะรื้อฟื้นคำสั่งห้ามคนมุสลิม 7 ชาติ เข้าสหรัฐฯ
- ศาลระงับคำสั่งแบนคนมุสลิมเข้าสหรัฐของทรัมป์ แล้ว
ประธานาธิบดีทรัมป์ระบุว่า ศาลทำให้การทำงานของเขาเป็นไปอย่างยากลำบาก และเหลือเชื่อว่าผู้พิพากษาเพียงคนเดียวจะทำให้ทั้งประเทศตกอยู่ในอันตรายได้ถึงเพียงนี้ หากมีสิ่งใดเกิดขึ้น จะต้องกล่าวโทษผู้พิพากษาคนนั้นและระบบศาลทั้งหมด
ทั้งนี้ ข้อความทวิตเตอร์ของนายทรัมป์ข้างต้น พาดพิงถึงนายเจมส์ โรบาร์ต ผู้พิพากษาศาลรัฐบาลกลางประจำนครซีแอตเทิล ซึ่งเป็นผู้วินิจฉัยให้ระงับคำสั่งห้ามพลเมืองจาก 7 ชาติมุสลิมเดินทางเข้าประเทศเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยรัฐบาลสหรัฐฯได้ร้องอุทธรณ์การระงับคำสั่งดังกล่าวแล้ว แต่ไม่เป็นผล
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายรัฐบาลโดยกระทรวงยุติธรรมยังมีเวลายื่นเสนอข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อขอให้ศาลอุทธรณ์ฟื้นคำสั่งห้ามเข้าประเทศของประธานาธิบดีอีกครั้งได้ภายในวันนี้ (6 ก.พ.) โดยจะมีการพิจารณาของศาลอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งทางการรัฐวอชิงตันและรัฐมินนิโซตาได้เข้าร่วมยื่นคัดค้านคำสั่งของประธานาธิบดีต่อศาลด้วย
ทั้งนี้ เนื้อหาในคำร้องอุทธรณ์ของฝ่ายรัฐบาลระบุว่า ผู้พิพากษาโรบาร์ตได้กระทำการล้ำเส้นขอบเขตอำนาจของตน โดยด่วนตัดสินตัวประธานาธิบดีในประเด็นความมั่นคงของชาติ ทั้งที่ประธานาธิบดีเป็นผู้เดียวที่มีอำนาจพิจารณาได้ว่า ผู้ใดควรจะได้เดินทางเข้ามาหรือพำนักอยู่ในสหรัฐฯ ส่วนเนื้อหาคำร้องคัดค้านของรัฐวอชิงตันและรัฐมินนิโซตาระบุว่า คำสั่งของประธานาธิบดีขัดรัฐธรรมนูญและละเมิดเสรีภาพในการนับถือศาสนา เนื่องจากมุ่งเป้าไปยังกลุ่มประเทศมุสลิม
คาดว่าหากศาลอุทธรณ์ยังคงวินิจฉัยยืนให้ระงับคำสั่งของประธานาธิบดีทรัมป์ต่อไป กระทรวงยุติธรรมอาจร้องต่อศาลฎีกาโดยตรงเป็นกรณีฉุกเฉิน เพื่อให้นำคำสั่งดังกล่าวกลับมาบังคับใช้อีกครั้ง