ทรัมป์กลับลำบอกว่า จีนไม่ใช่ผู้บิดเบือนอัตราแลกเปลี่ยน
นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ กล่าวว่า สหรัฐฯ จะไม่ขึ้นบัญชีประเทศจีนว่าเป็น "ผู้บิดเบือนอัตราแลกเปลี่ยน หรือ Currency Manipulator ถือเป็นการกลับคำสัญญาที่เคยกล่าวไว้ก่อนการเลือกตั้งว่าเขาจะขึ้นบัญชีจีนให้เป็นผู้บิดเบือนอัตราแลกเปลี่ยนในวันแรกที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี
ที่ผ่านมาจีนถูกกล่าวหาว่า ใช้มาตรการลดค่าเงินหยวนเพื่อช่วยให้สินค้าส่งออกของจีนได้เปรียบประเทศคู่แข่งอย่างสหรัฐ และนายทรัมป์ระบุว่า การกระทำของจีนในเรื่องนี้เปรียบเสมือน การข่มขืนสหรัฐฯ ประเด็นดังกล่าวจึงนำมาสู่การหารือกันระหว่างสองชาติมหาอำนาจ เนื่องจากมีความเป็นไปได้ที่สหรัฐจะมีมาตราการตอบโต้
ก่อนหน้านี้ นายทรัมป์ได้ออกคำสั่งพิเศษ 2 ฉบับ เมื่อวันที่ 31 มี.ค. ที่ผ่านมา ภายใต้คำสั่งดังกล่าว กระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐต้องตรวจสอบสาเหตุการขาดดุลการค้าให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน โดยที่ประเทศจีนและไทยก็อยู่ใน 16 รายชื่อประเทศที่สหรัฐฯระบุ่ว่าขาดดุลการค้า
อย่างไรก็ตาม ท่าทีดังกล่าวของปธน. สหรัฐฯ ได้เปลี่ยนแปลงไป หลังจากที่เขาได้พบหารือครั้งล่าสุดกับนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีของจีน ที่รัฐฟลอริดา
ในการสัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (12 เม.ย.) นายทรัมป์ระบุว่า จีนก็ไม่ได้เป็นผู้บิดเบือนอัตราแลกเปลี่ยนในบางเวลา และยังมีความพยายามปกป้องค่าเงินหยวนไม่ให้อ่อนค่าลงอีกด้วย
"ผมคิดว่า เงินสกุลดอลล่าร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น บางส่วนก็เป็นความผิดของผมเอง เนื่องจากคนอเมริกันมีความเชื่อมั่นในตัวผม" นายทรัมป์กล่าว และว่า การที่ค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นก็เป็นประโยชน์ แต่ว่าก็ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐไม่น้อยเช่นกัน เพราะว่าเป็นเรื่องยากที่จะแข่งขันกับประเทศที่ลดค่าสกุลเงินของตนเอง
นอกจากประเด็นเกี่ยวกับจีนแล้ว นายทรัมป์ ยังเปลี่ยนท่าทีต่อนางเจเน็ต เยลเลน ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด ในทางที่ดีขึ้น ด้วยการระบุว่า ในขณะนี้เขาชื่นชอบนโยบายอัตราดอกเบี้ยของเฟด และเคารพในการดำรงตำแหน่งของนางเยลเลน
ก่อนหน้านี้ นายทรัมป์ วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของนางเยลเลนอย่างหนัก โดยเฉพาะเกี่ยวกับนโยบายอัตราดอกเบี้ย ที่ส่งผลกระทบต่อผู้ออมเงิน โดยได้ส่งสัญญาณออกมาว่าเขาจะไม่เสนอชื่อนางเยลเลนให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐอีกสมัย ซึ่งวาระการดำรงตำแหน่งของนางเยลเลนจะสิ้นสุดลงในเดือนก.พ. ปีหน้า