องค์กรเพื่อความโปร่งใสฯ: ปัญหาคอร์รัปชั่นไม่ดีขึ้น คสช. ไม่ทำตามที่ว่าไว้
องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International -- TI) ระบุ แทบไม่เห็นผลงานการปราบทุจริตของคณะรัฐประหารไทย ต่างจากที่ว่าไว้เมื่อเข้าสู่อำนาจ 4 ปีก่อน ชี้ กรณี "แหวนมารดา นาฬิกาเพื่อน" สะท้อน "ช่องโหว่ของกลไกคุณธรรมจริยธรรมของไทย"
TI ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในกรุงเบอร์ลิน เยอรมนี แถลงในวันที่ 21 ก.พ. ถึง ดัชนีภาพลักษณ์การคอร์รัปชั่นในภาครัฐทั่วโลก (Corruption Perception Index - CPI) ประจำปี 2560 ซึ่งผลปรากฎว่า ประเทศไทยได้คะแนนซีพีไอ 37 คะแนน จากเต็ม 100 คะแนน ไต่อันดับเป็น 96 จากเดิม 101 เมื่อปี 2559 ซึ่งไทยได้คะแนน 35 คะแนน
TI ระบุว่า คะแนนที่เพิ่มขึ้นน้อยมาก ในเชิงสถิติ ไม่นับว่าเป็นพัฒนาการที่ดีขึ้น และรัฐบาลทหารไทยไม่ได้ดำเนินการปราบปัญหาคอร์รัปชั่นอย่างที่ว่าไว้ตอนแรกสักเท่าไร
"ในตอนแรก ทางรัฐบาลทหารได้แสดงความปรารถนาที่จะปรับปรุงแก้ไขปัญหาทุจริตของประเทศ อย่างไรก็ตาม เราแทบไม่เห็นการปฏิบัติที่เกิดขึ้นจริง" อิลฮาม โมฮัมเหม็ด ที่ปรึกษาประจำแผนกภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ของ TI ให้สัมภาษณ์กับบีบีซีไทยผ่านทางอีเมล
ขณะที่ ดร.บัณฑิต นิจถาวร เลขาธิการแนวร่วมปฏิบัติของภาคเอกชนไทยในการต่อต้านการทุจริต (CAC) เรียกร้องให้ทุกฝ่ายทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม พยายามให้มากขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันอย่างจริงจัง แม้คะแนนและอันดับของไทยจะขยับสูงขึ้นก็ตาม
ด้าน พล.ท.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กับบีบีซีไทยเรื่องผลดัชนีที่ออกมาว่า รัฐบาลจะนำข้อมูลมาพิจารณา และพร้อมจะร่วมมือทำงานกับองค์กรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในการที่จะแก้ไขปัญหา
"รัฐบาลให้ความสำคัญ [เรื่องปัญหาคอร์รัปชั่น] มาโดยตลอด แต่เราก็ไม่รู้ว่าเขาวิธีรวบรวมสถิติเขาเป็นอย่างไร ...อันนี้ก็เป็นกระจกอีกหนึ่งบานที่จะส่องแง่มุมต่าง ๆ ที่แตกต่างไป เราก็ฟังในทุก ๆ เรื่องแต่คงไม่ไปตัดสินใจว่ามีความรู้สึกอย่างไร คงไม่ไปตัดสินใจว่าใครมองผิดมองถูกยังไง"
พล.ท.วีรชน ย้ำว่า ปัญหาคอร์รัปชั่นเปนสิ่งที่รัฐบาลให้ความสำคัญในทุก ๆ มิติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และอยากจะชี้ให้เห็นดัชนีชี้วัดปัญหาคอร์รัปชั่นในส่วนอื่นด้วย โดยยกตัวอย่างเรื่องที่ประเทศไทยได้รับการปรับอันดับใน รายงานความยากง่ายในการประกอบธุรกิจ (Ease of Doing Business) ที่จัดทำโดยกลุ่มธนาคารโลก เป็นอันดับ 26 ในปี 2017 จากอันดับ 46 เมื่อปี 2016 โดย พล.ท.วีรชน บอกว่า เรื่องของความโปร่งใสและปัญหาคอร์รัปชั่นก็เป็นหนึ่งในองค์ประกอบที่นำมาพิจารณาอันดับดังกล่าวด้วย
อย่างไรก็ตาม นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แสดงความพอใจที่ไทยได้คะแนนดีขึ้น โดยอ้างว่า มีแหล่งข้อมูลที่ TI นำมาพิจารณาดัชนีภาพลักษณ์ 3 แหล่งด้วยกันที่ประเทศไทยทำคะแนนได้ดีขึ้น ได้แก่ หนึ่ง มุมมองของนักธุรกิจที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย สอง การประเมินค่าความโปร่งใสโดยใช้หลักนิติรัฐ และ สาม การประเมินปัญหาคอร์รัปชั่น การติดสินบน และการแทรกแซงของเจ้าหน้าที่รัฐในการดำเนินธุรกิจ
นายวรวิทย์กล่าวว่า สำหรับแหล่งข้อมูลที่ไทยได้คะแนนลดลงกว่าปีก่อน มีแหล่งข้อมูลที่ประเมินกระบวนการเปลี่ยนแปลงไปสู่ประชาธิปไตยและระบบเศรษฐกิจแบบตลาดเสรี ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากการวิเคราะห์กระบวนการทางการเมืองเป็นหลัก
อิลฮามกล่าวว่า "กรณีของ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ สะท้อนให้เห็นถึง ช่องโหว่ของกลไกคุณธรรมจริยธรรมของไทย ซึ่ง ถ้าเรามีกลไกการแสดงบัญชีทรัพย์สินที่เข้มแข็งแล้ว เราจะสามารถจัดการเรื่องนี้ได้อย่างเห็นผล"
อิลฮามยังบอกอีกด้วยว่า มาตรการแสดงบัญชีทรัพย์สินของเจ้าหน้าที่ระดับสูง และกฎหมายปราบปรามการร่ำรวยผิดปกติ จะเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนและภาคประชาสังคมได้เฝ้าระวัง ตรวจสอบเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ต้องสงสัยว่าร่ำรวยผิดปกติ นำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และลดปัญหาการปล่อยให้คนผิดลอยนวล
เมื่อถามว่ากรณีของ พล.อ. ประวิตร ทำให้ภาพลักษณ์ด้านคอร์รัปชั่นของไทยเสียหรือไม่ พล.ท.วีรชน บอกว่า เป็นเรื่องที่ไทยเองก็มีองค์กรตรวจสอบอยู่คือ คณะกรรมการ ป.ป.ช. และ "ในส่วนที่เป็นข่าวอยู่ในปัจจุบัน ส่วนใหญ่แล้วก็ยังเน้นในเรื่องของอารมณ์และความรู้สึก"
"ต้องให้ความเป็นธรรรมกับทุกฝ่าย ว่าจะมีการนำเสนอข้อมูลอย่างไร ไม่ได้ตัดสินจากเรื่องของอารมณ์ความรู้สึกอย่างเดียว คนที่ถูกกล่าวหา ก็ต้องให้โอกาส ในการชี้แจงกับสังคม ในการทำให้ประเด็นต่างๆ ชัดเจน" พล.ท.วีรชน กล่าว
TI ระบุว่า จากบริบทปัญหาคอร์รัปชั่นในปัจจุบัน แนะนำให้ไทยยึดหลักดังต่อไปนี้
- ส่งเสริมระบบความโปร่งใสและการตรวจสอบเอาผิดฝ่ายผู้ปกครองในทุกระดับ
- ยึดหลักให้การทำธุรกิจในประเทศมีความถูกต้องโปร่งใส
- ยึดหลักความโปร่งใสและมาตรฐานในการตรวจสอบเอาผิดได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในการจัดซื้อจัดจ้างขนาดใหญ่ที่ถูกควบคุมโดยรัฐบาล
- ยึดหลักการเปิดเผยทรัพย์สินอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อแก้ปัญหาการร่ำรวยผิดปกติ
สำหรับคะแนนดัชนีภาพลักษณ์การคอร์รัปชั่นในไทย ทางองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติใช้ข้อมูล 7 แหล่งด้วยกันในการคำนวณ อาทิ ดัชนีหลักนิติธรรมโดยโครงการยุติธรรมโลก (World Justice Project Rule of Law Index) คู่มือความเสี่ยงรายประเทศ พีอาร์เอส (PRS International Country Risk Guide) รายงานการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ไอเอ็มดี (IMD World Competitiveness Yearbook) เป็นต้น
บทวิเคราะห์ประกอบดัชนีภาพลักษณ์เมื่อปี 2559 ระบุว่าสาเหตุที่ไทยได้คะแนนซีพีไอต่ำลงเกี่ยวข้องกับการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. .... เมื่อวันที่ 7 ส.ค. 2559 ที่มีการปราบปรามดำเนินคดีกับผู้เห็นต่างจากรัฐ ไม่มีเวทีอภิปรายเนื้อหาของร่างรัฐธรรมนูญฯ อย่างเสรี และไม่ให้ผู้แทนจากภาคนอกซึ่งมีอิสระเข้าไปสังเกตการณ์
อิลฮาม ยังบอกอีกว่า องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ ยินดีกับ แผนปฏิบัติการป้องกันการทุจริต 4 ปี ของ คณะกรรมการ ป.ป.ช. แต่เน้นว่ามีสิ่งที่ต้องทำอีกมากในการรับมือกับปัญหาคอร์รัปชั่น การติดสินบน และการร่ำรวยผิดปกติ
ด้าน นายธิปไตร แสละวงศ์ นักวิจัยอาวุโส จากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) บอกกับบีบีซีไทยว่า หากดูจากคะแนน ซีพีไอ แล้ว ภาพลักษณ์คอร์รัปชั่นไทยยังอยู่ในระดับที่ "แย่" และไม่สามารถพูดเต็มปากได้ว่าดีขึ้นหากคะแนนยังไม่เกิน 50 คะแนนจาก 100
นายธิปไตรยังบอกอีกว่า ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา สังเกตว่า TI สนใจประเด็นสิทธิมนุษยชนและเรื่องประชาธิปไตยมากขึ้น และ "หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ประเทศไทยจะต้องปรับปรุงตัวเรื่องสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยให้มากขึ้น" หากอยากได้คะแนนมากขึ้น พร้อมกับเสนอวิธีการแก้ไข 3 ประการด้วยกันคือ
- ผู้บริหารประเทศต้องไม่ดื้อด้าน เมื่อถูกกล่าวหาว่าทุจริต ต้องลาออก
- นโยบายปราบปรามทุจริตต้องเป็นเรื่องจริงจัง
- ประชาธิปไตยเป็นเงื่อนไขที่จำเป็น (แต่ยังไม่พอ) ถ้าจะให้การต่อต้านคอร์รัปชันยั่งยืน
เมื่อต้นปีที่ผ่านมา สื่อไทยหลายสำนักข่าวรายงานว่า มูลนิธิองค์กรเพื่อความโปร่งใสในประเทศไทย ได้ถอนตัวจากการเป็นสมาชิกองค์กรความโปร่งใสนานาชาติ ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2559
อิลฮาม อธิบายเรื่องนี้ว่า การถอนตัวไม่เกี่ยวข้องกับปัจจัยทางการเมืองในขณะนั้น แต่เป็นเรื่องความสามารถในการปฏิบัติการขององค์กรในไทย นี่หมายความว่าระหว่างนี้การปฏิบัติขององค์กรจะมีฐานอยู่ที่กรุงเบอร์ลิน จนกว่าจะหาองค์กรตัวแทนในไทยที่จะรับเข้าเป็นสมาชิกใหม่ได้
ก่อนหน้านี้ รศ.ดร.จุรี วิจิตรวาทการ เลขาธิการมูลนิธิองค์กรเพื่อความโปร่งใสในประเทศไทย เปิดเผยว่า การถอนตัวเป็นพราะแนวทางการทำงานไม่ตรงกัน พร้อมยืนยันว่า ไทยยังคงถูกจัดอันดับดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชั่นโลก แม้ว่ามูลนิธิฯ ถอนตัวจากการเป็นสมาชิก และรัฐบาล คสช.ไม่ได้กดดันให้ถอนตัว
"กติกาบางอย่าง อย่างเช่นเขาก็จะไม่ชอบรัฐบาลที่มาจากรัฐประหาร แต่เราก็คิดว่าเราทำงานกับรัฐบาลได้" นางจุรี กล่าวในรายงานข่าวของสถานีโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 7
ดร.กนกกาญจน์ อนุแก่นทราย ผู้ช่วยเลขาธิการมูลนิธิฯ ชี้แจงกับ บีบีซีไทย ว่า การถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกองค์กรความโปร่งใสนานาชาติ "เป็นเหตุผลเรื่องกติกาด้านการบริหารจัดการ" ซึ่งทางองค์กรความโปร่งใสนานาชาติต้องการให้ทางมูลนิธิฯ จัดองค์กรในรูปแบบองค์กรอิสระ ทั้งตัวบอร์ดและแหล่งทุน มีการจัดหาองค์กรสมาชิก เช่น ภาคเอกชนธุรกิจ และเงื่อนไขของประธานต้องมาจากการเลือกตั้งองค์กรสมาชิก แต่สถานะของมูลนิธิฯ นั้นปัจจุบันได้ใช้ทุนจากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)
"องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติทาบทามให้เราเป็นสมาชิก เพราะรู้ว่าคุณอานันท์ ปันยารชุน ทำเรื่องความโปร่งใสมานานตั้งแต่สมัยเป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อเป็นสมาชิกมาระยะหนึ่ง เขาก็อยากให้ทางมูลนิธิฯ ทำตามเงื่อนไขด้านการบริหารจัดการ" ผู้ช่วยเลขาธิการมูลนิธิองค์กรเพื่อความโปร่งใส กล่าว
ดร.กนกกาญจน์ ระบุอีกว่า การถอนตัวมีผลเพียง ทำให้มูลนิธิฯ ทราบผลการจัดอันดับภาพลักษณ์คอร์รัปชั่น พร้อมๆ กับที่เผยแพร่ต่อสาธารณะ จากการก่อนหน้านี้ที่จะทราบผลก่อน 1 เดือน
"ข้อมูลส่วนหนึ่งได้จากการสำรวจความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ ที่ให้ความเห็นต่อสถานการณ์ในประเทศช่วงนั้น" ดร.กนกกาญจน์ กล่าว
ด้าน ดร.มานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านการคอร์รัปชั่น โพสต์บนเฟซบุ๊กระบุว่า มูลนิธิเพื่อความโปร่งใสในประเทศไทยเป็นสมาชิกขององค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติด้วย แต่ได้ถอนตัวจากการเป็นสมาชิก เนื่องจากมีข้อจำกัดบางประการ โดยจะไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อการประเมินและจัดอันดับคอร์รัปชัน
"การประเมินและจัดอันดับคอร์รัปชันของประเทศทั่วโลก เป็นการสำรวจข้อมูลอย่างอิสระโดยองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (TI) โดยไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ถูกประเมินและจัดอันดับทุกปีตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 เป็นต้นมา และเชื่อว่าจะยังคงมีต่อไป"
จุรี วิจิตรวาทการ คือใคร?
มูลนิธิเพื่อความโปร่งใสในประเทศไทย ก่อตั้งเมื่อปี 2543 โดยมีนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และ รศ.ดร.จุรี วิจิตรวาทการ เป็นเลขาธิการ
จุรี คือ ผู้ปลุกปั้นแบรนด์ "โตไปไม่โกง" ท่ามกลางกระแสสังคมที่ไม่เอาการทุจริตคอร์รัปชั่น
"โตไปไม่โกง" เป็นการเคลื่อนการรณรงค์เพื่อสังคมที่กรุงเทพมหานครจับมือกันทำหลักสูตรการเรียนให้กับโรงเรียนในสังกัด กทม.กว่า 400 แห่ง โดยมีนางทยา ทีปสุวรรณ แกนนำ กปปส. ซึ่งเป็นรองผู้ว่ากรุงเทพมหานคร จากพรรคประชาธิปัตย์ ในสมัยนั้นเมื่อปี 2553 ดูแลโครงการนี้
ก่อนมาออกแบบหลักสูตรคบเด็กสร้างชาติ จุรีทำงานขับเคลื่อนการสร้างค่านิยมไม่เอาคนโกง ทุจริตคอร์รัปชั่น ในกลุ่มเด็กและเยาวชน ในฐานะประธานศูนย์สาธารณประโยชน์และประชาสังคมของสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ตั้งแต่ปี 2541
จุรีเป็นอดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ปี 2549 ภายหลังการรัฐประหาร 19 กันยา ของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) และเป็นอดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) โดยลงมติเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญฉบับบวรศักดิ์ เมื่อ 6 ก.ย. 2558 ก่อนถูกตั้งเป็นหนึ่งใน 21 อรหันต์ ของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ชุดนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ที่้ตั้งขึ้นในปีเดียวกัน
ควบคู่ไปกับการนั่งเก้าอี้ สปช. ด้วยโปรไฟล์การทำงานที่ได้ชื่อว่าเชี่ยวชาญด้านคอร์รัปชั่น 9 เดือน
หลังการรัฐประหาร คสช. จุรี วิจิตรวาทการ ปรากฏชื่อเป็นประธานอนุกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ ด้านการปลูกฝังจิตสำนึกและการสร้างรับรู้ คณะอนุฯ ใต้ร่มคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (คตช.) รวมทั้งเป็นกรรมการในศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) ที่ตั้งโดย คสช.