ระเบียงทัศน์: จาก "โหมโรง" สู่ การเมืองเหลืองแดง วัฒนธรรมแห่งการประชันในรัตนโกสินทร์
- ดร. กฤษฏิ์ เลกะกุล
- อาจารย์พิเศษ SOAS, University of London
วัฒนธรรมการ "ประชัน" ดนตรีในสังคมไทย มีเอกลักษณ์ที่น่าศึกษา เพราะนอกจากจะทำให้รับรู้ถึงคุณค่าทางดนตรี สัมผัสถึงเสียงเพลงแห่งการต่อสู้อันเข้มข้นในสังคมดนตรีไทยแล้ว ยังได้เห็นรากวัฒนธรรมไทยที่มีความเกี่ยวข้องกับการขันแข่งอยู่ตลอด สิ่งนี้ปรากฏออกให้เห็นทั้งทางดนตรี ศิลปะการแสดง แม้แต่การต่อสู้บนเกมการเมืองของผู้ที่มีความเห็นต่างขั้ว
โหมโรง
จากภาพยนตร์และละครเรื่อง "โหมโรง" ที่โด่งดังในไทย และต่างประเทศในชื่อ "The Overture" เราได้เรียนรู้วัฒนธรรมการประชันดนตรีในสังคมไทยผ่านชีวประวัติของครูหลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) ได้เรียนรู้วัฒนธรรมการประชันดนตรีปี่พาทย์ ระหว่างนายศร และขุนอิน ที่ต่างมีเอกลักษณ์และสไตล์การบรรเลงระนาดเอกที่ต่างกัน มาแข่งขันกันในนามของวงดนตรีประจำแต่ละวัง เรามองเห็นการต่อสู้ของนักดนตรีผ่านทางเสียงเพลงและเครื่องดนตรีไทยอย่าง ระนาด ฆ้อง ปี่ กลอง เรียนรู้วิธีการโต้ตอบกันในประชันผ่านสไตล์ เทคนิคการตีระนาดที่พริ้วไหว หนักหน่วง ความเร็วความชัดเจนของการบรรเลง แม้แต่สีเสื้อขาวและดำที่เป็นสีของนักดนตรีแต่ละฝ่าย ที่มองถึงการต่อสู้ระหว่างฝ่ายพระเอกและผู้ร้าย ธรรมะและอธรรม ความดีและความชั่วเป็นการเปรียบเทียบระหว่างคนสองฝั่งที่มีความต่างทางพื้นฐานด้านดนตรี ประเพณีและความต่างทางความคิดแบบดั้งเดิมและสมัยใหม่ที่ต้องมาต่อสู้กันบนเวทีอันทรงเกียรติที่สนับสนุนโดยกลุ่มเจ้านายหรือชนชั้นสูง โหมโรง เป็นการเล่าเรื่องที่ผ่านเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคมไทยยุครัตนโกสินทร์ที่ดนตรีได้มีการเปลี่ยนแปลงผ่านทางระบบอุปถัมภ์ สงครามโลกครั้งที่ 2 และสังคมไทยสมัยใหม่หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง สิ่งที่เราเห็นได้ชัดคือ สังคมไทยกับการประชันนั้นมีความเชื่อมโยงด้วยกันตลอดเวลา
ประชัน
การประชันปี่พาทย์หรือการแข่งขันทางดนตรี (Music Competition) ในสังคมไทยมีความแตกต่างจากดนตรีตะวันตกและดนตรีชาติอื่น ๆ การประชันปี่พาทย์หรือโดยเฉพาะปี่พาทย์เสภานั้นโดยประเพณีเดิมเป็นการแข่งขันของวงปี่พาทย์สองวง โดยในการประชันทั้งสองวงจะบรรเลงเพลงโต้ตอบกันไปมาตั้งแต่เพลงโหมโรง เพลงเสภา จนไปถึงเพลงเดี่ยวในแต่ละเครื่องมือเพื่อโชว์ศักยภาพปฏิภาณไหวพริบของนักดนตรีในการบรรเลงรวมถึงความสามารถในการแต่งเพลงและปรับวง (Orchestration) ของครูผู้ฝึกสอน นอกจากนี้สิ่งที่โดดเด่นของการประชันดนตรีคือ เป็นการแข่งขันโดยไม่มีกรรมการเป็นผู้ตัดสินและจะไม่มีการประกาศว่าใครคือผู้ชนะหรือแพ้ในการแข่งขันโดยตรง สิ่งที่เป็นตัวบ่งบอกถึงว่าใครบรรเลงดีกว่าใครหรือผู้ชนะนั้นจะวัดกันจากเสียงเชียร์เสียงปรบมือของคนดูหรือการนับจากจำนวนธงของคนดูที่มาปักลงบนกระถางหรือลำต้นของต้นกล้วยที่ตัดวางไว้หน้าวงปีพาทย์ที่ตัวเองชอบแต่ละฝ่ายระหว่างการประชัน ซึ่งคือการโหวต จากคนดูคนฟัง
การประชันปี่พาทย์มีวิวัฒนาการในสมัยรัตนโกสินทร์ โดยเชื่อกันว่าเป็นดนตรีที่เริ่มจากความนิยมในหมู่ชาวบ้านแต่ยังไม่มีรูปแบบที่ชัดเจน จนกระทั่งได้รับความนิยมในหมู่คนชั้นสูงในรั้วในวังที่นิยมการแข่งขันดนตรีเพื่อความเพลิดเพลิน จึงได้มีการพัฒนารูปแบบของการประชันให้มีความหลากหลายและเข้มข้นมากขึ้น ประชันปี่พาทย์เสภามีหลักฐานเด่นชัดจากวิวัฒนาการของวงปี่พาทย์เสภาที่เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 2 และช่วงรัชกาลที่ 4 สมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2394-2411) ที่ถือว่าเป็นยุคพัฒนาของวงปี่พาทย์เสภาที่ครูดนตรีไทยในวังได้มีการพัฒนาเพลงเสภาหลักสี่เพลงขึ้นในอัตราสามชั้น คือ เพลงพม่าห้าท่อน จระเข้หางยาว สี่บท และบุหลัน เพื่อนำมาบรรเลง ซึ่งต่อมาเมื่อเจ้านายต้องการที่จะให้มีการแข่งขันหรือประชันวงปี่พาทย์จึงได้มีการเพิ่มเพลงประเภททยอยและเพลงเดี่ยวในการประชันเพื่อเพิ่มระดับความยากหรือความเข้มข้นของการประชันให้มากขึ้น
การประชันในสมัยก่อน นักดนตรีหรือวงดนตรีปีพาทย์ที่มีชื่อเสียงจะได้รับการสนับสนุนจากเจ้านายในวังผ่านระบบอุปถัมภ์ ในช่วงสมัยรัชกาลที่ 4 ถึงรัชกาลที่ 7 การประชันปี่พาทย์จัดว่าเป็นแฟชั่นนำสมัยเป็นที่โปรดปรานของเจ้านายชั้นผู้ใหญ่และขุนนางผู้มีฐานะที่ว่าใครมีวงปี่พาทย์หรือมีนักดนตรีฝีมือดีและมีชื่อเสียงในการประชันก็จะเป็นหน้าเป็นตาของเจ้าของวังเจ้าของบ้านนั้นๆ ดังนั้นเจ้านายแต่ละวังในสมัยก่อน เช่น สมเด็จเจ้าฟ้าฯ ภาณุรังสีสว่างวงศ์ (สมเด็จวังบูรพา) สมเด็จเจ้าฟ้าฯบริพัตรสุขมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิจ (สมเด็จวังบางขุนพรหม) ต่างตามหานักดนตรีหรือครูดนตรีฝีมือดีจากที่ต่าง ๆ เพื่อเข้ามาชุบเลี้ยงให้เป็นนักดนตรีฝีมือฉกาจในวังของตนเพื่อไปประชันกับวังอื่น ถือเป็นการประชันในเรื่องของศักดิ์ศรีระหว่างเจ้านายวังต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงเหล่าขุนนางผู้มีฐานะ ในทางประวัติศาสตร์การประชันดนตรีสมัยนั้นถือว่าเข้มข้นและจริงจังมาก เพราะเนื่องด้วยมีศักดิ์ศรีของเจ้านายมาเกี่ยวข้อง ดังนั้นการชนะหรือการแพ้การประชันมีผลต่อการเลื่อนบรรดาศักดิ์และฐานะของนักดนตรี
รูปแบบการประชันที่เปลี่ยนไป
พอหลังปีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 การประชันปี่พาทย์ได้เปลี่ยนรูปแบบไป หลังจากที่ครูดนตรีและนักดนตรีฝีมือดีได้กระจัดกระจายออกจากวังหรือบ้านของขุนนางไปสู่ตามที่ต่าง ๆ ทั้งเมืองหลวง ปริมณฑลและต่างจังหวัด ท่านเหล่านี้ได้ประกอบอาชีพนักดนตรีและเปิดสำนักดนตรีต่าง ๆ เพื่อเลี้ยงชีพ นักดนตรีเหล่านี้ต่างก็ได้ธรรมเนียมและรูปแบบการประชันที่ได้เรียนรู้จากในวังมาเผยแพร่สู่สังคมภายนอกโดยมีความคิดที่ว่านี่คือวัฒนธรรมดนตรีของชนชั้นสูง ดังนั้นการประชันปี่พาทย์ในสังคมไทยระหว่างสำนักดนตรีจึงได้เกิดขึ้นอย่างเข้มข้น มีการว่าจ้างนักดนตรีแต่ละสำนักที่มีชื่อเสียงเพื่อมาประชันกันในงานสำคัญทั้งงานศาสนาและพิธีกรรมต่าง ๆ เพื่อความบันเทิง ทำให้สังคมดนตรีปี่พาทย์และครูดนตรีเจ้าของสำนักมีการตื่นตัวตลอดมีการพัฒนาเพลง เทคนิคต่าง ๆ ในการบรรเลง การพัฒนาวัตถุดิบในการสร้างเครื่องดนตรีและไม้ตีที่ให้เสียงดังกังวาน และการพัฒนารูปแบบในการบรรเลงแบบต่าง ๆ เพื่อมาโต้ตอบกัน
การประชันเป็นการโต้ตอบเชิงสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม (Symbolic Cultural Meaning) ในความหมายของเสียงเพลง เทคนิค สไตล์ การแต่งเพลง การปรับวง เพลงเดี่ยว หางเพลงและเพลงสำเนียงภาษาต่าง ๆ เป็นการอวดถึงสติปัญญาความสามารถของนักดนตรีและครูผู้สอน กล่าวได้ว่าการเป็นวงประชันที่มีชื่อเสียงมีผลต่อชีวิตความเป็นอยู่และการยอมรับของนักดนตรีในสังคมไทยมากในสมัยนั้น การประชันระหว่างสำนักต่าง ๆ ทำให้เราเห็นวัฒนธรรมของการแบ่งฝักฝ่ายและการแข่งขันต่อสู้ทางดนตรีในสังคมไทยได้ชัดเจน วงดนตรีประชันที่มีชื่อเสียงสมัยนั้น ได้แก่ วงสุพจน์ โตสง่า วงดุริยประณีต วงหัวลำโพง วงปลื้มปรีชา วงครูหยด ศรีอยู่ วงครูสกล แก้วเพ็ญกาศ วงบ้านใหม่หางกระเบน วงครูประสงค์ พิณพาทย์ ฯลฯ
ความหลากหลายกลายเป็น "มาตรฐาน" เดียว
การประชันปี่พาทย์เกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง เมื่อดนตรีไทยเริ่มหมดความนิยมลง อันเกิดจากการรับอิทธิพลของวัฒนธรรมดนตรีต่างชาติ รวมถึงวิกฤตทางเศรษฐกิจของเอเชียในปี 2540 ทำให้แทบไม่มีใครคิดจ้างนักดนตรีไทยเพื่อมาบรรเลงหรือมาประชันกัน วงการดนตรีไทยซบเซา สุดท้ายนักดนตรีเหล่านี้จึงหาทางอยู่รอดโดยเข้าไปสังกัดตามสถาบันการศึกษา และสถาบันราชการกองดุริยางค์ต่าง ๆ เช่น กองดุริยางค์สี่เหล่าทัพ (กองดุริยางค์ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ ตำรวจ) กรมศิลปากร และวงดนตรีไทยกรุงเทพมหานคร
สถาบันเหล่านี้ได้จ้างครูหรือนักดนตรีจากสำนักต่าง ๆ ให้มารวมกันให้ความรู้และทำงานร่วมกันในหน่วยงานราชการ สิ่งที่น่าสนใจคือ นักดนตรีจากต่างสำนักที่เคยประชันกันต้องมาทำงานและเล่นดนตรีร่วมกัน แน่นอนย่อมมีความเห็นที่แตกต่างในเรื่องวิธีการบรรเลง ทางเพลง สไตล์และเทคนิคในการบรรเลงต่าง ๆ แต่สุดท้ายต้องยอมให้กับคำสั่งระบบราชการทหารและสถาบันที่จำกัดและควบคุมการบรรเลงให้ไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งบางสถาบันถึงกับให้มีการสร้าง "มาตรฐานในการบรรเลง" ซึ่งนำมาสู่การปรับเปลี่ยนโครงสร้างของสำนักดนตรีที่ต้องไปพึ่งสถาบันราชการ และสถาบันการศึกษาต่าง ๆ เป็นหลักและทำให้การประชันระหว่างสำนักดนตรีเบาบางลงไม่เข้มข้นแบบสมัยก่อน สิ่งนี้มีผลต่อการประชันและการเรียนดนตรีที่ต้องขึ้นอยู่กับชื่อเสียงของสถาบันราชการ ทำให้ดนตรีกลายเป็นการแข่งขันระหว่างสถาบันราชการและสถานศึกษา การบรรเลงหรือการประชันปี่พาทย์เสภาที่วังหน้าที่กรมศิลปากรเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นทุกปีทุกวันที่ 7 มกราคม นับว่าเป็นตัวอย่างการประชันที่อวดศักยภาพวงดนตรีและนักดนตรีของแต่ละสถาบันอย่างกลาย ๆ ในสังคมดนตรีไทยต่างรู้กันว่าปี่พาทย์เสภาที่วังหน้าจัดว่าเป็นการประชันที่สำคัญงานหนึ่งในปัจจุบัน
ประชันกับวัฒนธรรมไทย และประชันกับการเมืองเหลืองแดง?
เรามองเห็นอะไรจากการประชันดนตรี? การประชันจริง ๆ แล้วไม่ได้มีแต่ในเฉพาะดนตรีแต่มีอยู่ทั่วในวัฒนธรรมไทย การประชันในวัฒนธรรมไทยนั้นครอบคลุมถึงศิลปะการแสดง และถ้ามองให้ลึกลงไปกล่าวได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของเราซึ่งรวมไปถึงเหตุการณ์การเมืองที่เร่าร้อนของเมืองไทยที่ผ่านมา การต่อสู้กันระหว่างเสื้อเหลืองแดงในเกมการเมืองจัดได้ว่าเป็นการประชันประเภทหนึ่งที่แข่งขันกันเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ ทั้งเรียกร้องสิทธิความเท่าเทียมกัน ความยุติธรรม การปราบทุจริต การรักษาอำนาจของชนชั้นกลางหรือคนชั้นกลางระดับบน การเรียกร้องความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและเพิ่มอำนาจต่อรองในสังคมไทยต่อรัฐ
ที่น่าสนใจคือ สิ่งที่เหมือนกันของการประชันดนตรีและประชันเหลืองแดง คือ การต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายที่พยายามโต้ตอบกันทุกวิถีทางเพื่อความเป็นผู้ชนะ ซึ่งรวมถึงยุทธวิธี กลยุทธ เล่ห์เหลี่ยมโจมตีฝ่ายตรงข้ามด้วยเสียงเพลงหรือดนตรีที่เหมือนการประชัน เช่น ครั้งหนึ่งเมื่อปี 2555 เมื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ (อดีตนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรี พ.ศ. 2551-2554) ต้องมารายงานตัวที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI เพื่อมาให้การเกี่ยวกับคดีการสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดง ในตอนที่ทั้งสองคนมาให้การกับเจ้าหน้าที่กลุ่มคนเสื้อแดงกลุ่มใหญ่ได้มาชุมนุมหน้าตึก DSI และเปิดเพลงด้วยลำโพงเสียงดังในเพลงไทยเดิม "ธรณีกันแสง" ที่ปกติใช้ในงานศพที่มีความหมายในเชิงลบของคนที่จะต้องเสียชีวิต เพื่อสร้างแรงกดดันให้ทั้งสองในการเข้าไปรับการสอบสวน
เฉกเช่นเดียวกันกับเมื่อปี 2557 ก่อนการรัฐประหาร ได้มีการเผยแพร่วีดีโอคลิปหัวข้อ "ทักษิณคนโลภ" ต่อสาธารณะพร้อมกับเพลงที่กล่าวถึงการคอร์รัปชั่นของนักการเมืองด้วยสไตล์เพลงเพื่อชีวิตร้องโดย "แอ๊ด คาราบาว" พร้อมกับรูปภาพล้อเลียนอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัวรวมถึงนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีขณะนั้น พร้อมโจมตีด้วยข้อความที่กล่าวหาการคอรัปชั่นของครอบครัวชินวัตรร่วมกับพรรคเพื่อไทย ซึ่งสุดท้ายนายยืนยง โอภากุล ได้มายืนยันผ่านสื่อว่าเขาไม่เคยร้องเพลงประกอบวิดีโอคลิปอันนี้ แต่เป็นกลุ่มฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลได้ตัดต่อเสียงร้องของเขาในอัลบั้ม "ซึม เศร้า เหงา แฮ้งค์" ในปี 2548 ไปไว้ในวิดีโอคลิปอันนี้เพื่อโจมตีรัฐบาลของนายกฯยิ่งลักษณ์ขณะนั้น
การต่อสู้ของเหลืองแดงนั้นคือการประชันแบบหนึ่งที่มีรูปแบบในการโต้ตอบกันอย่างหลากหลายและเข้มข้นซึ่งสะท้อนภาพสังคมและวัฒนธรรมไทยในการแข่งขันบนเกมการเมือง สิ่งที่น่าสนใจคือ การประชันเหลืองแดงนั้นมีพื้นฐานที่ให้ความสำคัญกับประชาชน ซึ่งเป็นหลักการเดียวกันกับการประชันในดนตรีไทยที่อยู่บนพื้นฐานของความอิสระที่ไม่ให้มีกรรมการตัดสิน แต่ให้คนดูหรือประชาชนเป็นผู้ตัดสินด้วยเสียงเชียร์หรือการตบมือโดยบางครั้งอาจรวมถึงการใช้เล่ห์เหลี่ยมยุทธวิธีในการบรรเลงและการเกณฑ์คนดูมาช่วยเชียร์เพื่อให้ได้รับชัยชนะ ในมุมนี้มองได้ว่าการประชันดนตรีและประชันเหลืองแดงนั้นแทบไม่ต่างกันในภาพของการต่อสู้ในระบอบประชาธิปไตย การประชันทั้งสองอยู่บนพื้นฐานเดียวกันคือ การต่อสู้ทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เสียงเชียร์หรือเสียงโหวตจากประชาชนเพื่อให้ได้รับการยอมรับจากมวลชนมากที่สุดโดยเล่นแบบไม่ต้องมีกรรมการและไม่มีกติกาตายตัว จากที่กล่าวมาเราอาจมองการประชันการเมืองเหลืองแดงว่ามีความคล้ายกันในเชิงพื้นฐานทางวัฒนธรรมกับการประชันในดนตรี แต่สิ่งที่ทำให้การประชันบนเกมการเมืองต่างกันออกไป คือตัวแปรของความซับซ้อน เพราะสุดท้ายการประชันเหลืองแดง ต้องพ่ายแพ้ให้กับทหารที่อ้างว่าเป็นกรรมการเข้ามาหยุดและเข้ามาเล่นเองในเกมแบบไม่ต้องมีกติกาโดยเหตุผลว่าเพื่อมวลมหาประชาชน น่าคิดว่าการประชันทางการเมืองที่สู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่ออุดมการณ์ เพื่อการปราบคอรัปชั่นหรือแม้แต่เสรีภาพของประชาชน สุดท้ายก็มาจบที่มือของผู้มีอำนาจนอกระบบที่เหนือกว่าเกมการเมือง สิ่งนี้ทำให้เราอาจตั้งคำถามกับตัวเราว่าจริงหรือที่เราต่อสู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงของสังคม?
ดัดแปลงจาก ดุษฎีนิพนธ์ 'Prachan: Music, Competition, and Conceptual Fighting in Thai Culture', PhD thesis, SOAS, University of London (2017) โดย กฤษฏิ์ เลกะกุล