85 ปีปฏิวัติสยาม: การตีความ “ประชาธิปไตยไทย” ณ เวทีศิลปะโลก
ครบรอบ 85 ปี ปฏิวัติสยามและการมีอยู่ของสิ่งที่เรียกว่า 'ประชาธิปไตย' อริญชย์ รุ่งแจ้ง ศิลปินไทยหนึ่งเดียวนำผลงานแสดงที่ "ด็อกคิวเมนตา"(documenta) นิทรรศการศิลปะร่วมสมัยที่มีชื่อเสียงที่สุดงานหนึ่งของโลก ซึ่งจัดเป็นครั้งที่ 14 ที่กรุงเอเธนส์ในกรีซ และเมืองคาสเซิลในเยอรมนี เปิดโอกาสให้สัญลักษณ์ทางประวัติศาสตร์การเมืองไทยสื่อสารกับผู้ชม
ผลงานอย่างภาพวาดสีน้ำมันเหตุการณ์ประท้วง 14 ตุลาคม 2516 และประติมากรรมทองเหลืองที่ถอดแบบมาจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย จากชุดผลงาน "And then there were none (Tomorrow we will become Thailand.)" และ "246247596248914102516... And then there were none" ของอริญชย์เป็นการเปิดพื้นที่ให้วัตถุและเรื่องราวทางประวัติศาสตร์กลับมาอยู่ในบริบทร่วมสมัยอีกครั้ง
"ทั้งนี้ทั้งนั้น มันขึ้นอยู่กับตัวบริบท ว่าบริบทต้องการหาความหมายของมันมากน้อยแค่ไหน" นี่อาจเป็นคำอธิบายที่ฟังดูน่างุนงงที่สุดของอริญชย์ ตลอดการให้สัมภาษณ์กับบีบีซีไทยต่อเนื่องเป็นเวลาร่วมเดือน ผ่านเฟซบุ๊ก ผ่านทางโทรศัพท์ และพูดคุยกันที่เมืองคาสเซิลเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา
แต่ในขณะเดียวกัน มันก็อาจจะเป็นคำอธิบายที่ชัดแจ้งที่สุดจากศิลปินวัย 42 ปีผู้นี้เช่นกัน
'บริบท' ที่ศิลปินพูดถึงอาจเป็นความจริงที่ว่าประเทศไทยได้เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยมาแล้ว 85 ปี แต่ผ่านการรัฐประหาร 13 ครั้งและอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลทหารเสียส่วนใหญ่
หรือความจริงที่ว่างานศิลปะของอริญชย์ถอดแบบจากสัญลักษณ์แทนความเป็นประชาธิปไตยที่สร้างขึ้นเกือบ 80 ปีที่แล้ว ในขณะที่ประเทศไทยก้าวเข้าสู่ปีที่ 4 ภายใต้รัฐบาลทหารของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา
พิพิธภัณฑ์ 100 วัน
ด็อกคิวเมนตา จัดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 2498 ที่เมืองคาสเซิลในเยอรมนี โดยเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของเยอรมนีที่จะก้าวทันความเคลื่อนไหวของโลกศิลปะสมัยใหม่หลังจากเพิ่งผ่านพ้นยุคมืดของลัทธินาซี นิทรรศการนี้ ซึ่งจัดขึ้นทุก ๆ 5 ปีนี้และเป็นที่รู้จักกันในชื่อ "พิพิธภัณฑ์ 100 วัน" ตามระยะเวลาที่จัดแสดงแต่ละครั้ง ผลงานที่นำมาแสดงเป็นของศิลปินแถวหน้าของโลกในแต่ละยุคสมัย ตั้งแต่ พาโบล ปิกัสโซ จิตกรชาวสเปน หรือ วาซาลี แคนดินสกี จิตกรชาวรัสเซีย ไล่มาจนถึงยุคร่วมสมัยที่นิยามของ"ศิลปะ" ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
ในงานด็อกคิวเมนตาครั้งที่ 7 เมื่อปี 2525 งานศิลปะของ โจเซฟ บอยส์ ศิลปินชาวเยอรมัน คือการปลูกต้นโอ๊ค 7,000 ต้นทั่วเมืองคาสเซิล ซึ่งต้นโอ๊คเหล่านั้นยังคงอยู่ถึงปัจจุบัน นั่นคือศิลปะ ในงานด็อกคิวเมนตาครั้งที่ 12 เมื่อปี 2555 ศิลปินชาวจีน อ้าย เว่ยเว่ย พาคนจีน 1,001 คนไปร่วม และให้พวกเขาเดินเที่ยวไปมาในเมืองคาสเซิลได้ตามใจชอบ โดยมีข้อแม้ว่าห้ามเดินทางออกจากเมือง โดย อ้าย เว่ยเว่ย เรียกสิ่งนี้ว่า 'ศิลปะจัดวาง' ของเขา
ศิลปินไทยที่เคยเข้าร่วมด็อกคิวเมนตาในครั้งผ่าน ๆ มาได้แก่ สาครินทร์ เครืออ่อน, ปรัชญา พิณทอง, อารยา ราษฎร์จำเริญสุข, อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล และ ชัย ศิริ
อริญชย์ รุ่งแจ้ง จบการศึกษาจากคณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ก่อนไปศึกษาต่อด้านศิลปะที่ประเทศฝรั่งเศส เขาเป็นที่รู้จักมากที่สุดจากผลงานที่ชื่อ "Golden Teardrop" ประติมากรรมรูปทองหยอดขนาดใหญ่ซึ่งเข้าร่วม "เวนิส เบียนนาเล่" อีกหนึ่งนิทรรศการศิลปะที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดงานหนึ่งของโลก ที่เมืองเวนิส ประเทศอิตาลี เมื่อปี 2556
"พรุ่งนี้เราจะเป็นแบบประเทศไทย" VS "เรียนรู้จากเอเธนส์"
ด้วยงบ 37 ล้านยูโร หรือราว 1,400 ล้านบาท ด็อกคิวเมนตาครั้งที่ 14 นี้มีศิลปินเข้าร่วมกว่า 160 คน ด้วยชื่อแนวคิดงานว่า "เรียนรู้จากเอเธนส์" (Learning from Athens) จึงเป็นครั้งแรกที่นิทรรศการไม่ได้จัดขึ้นที่เมืองคาสเซิลเมื่อเดือนที่แล้วเพียงที่เดียว แต่ได้เริ่มเปิดนิทรรศการที่กรุงเอเธนส์ ไปก่อนหน้านั้น ในเดือนเมษายน
ภายใต้การนำทีมของอดัม ชูมชิค ภัณฑารักษ์ชาวโปแลนด์ แนวคิดของนิทรรศการครั้งนี้ชักชวนให้ศิลปินที่เข้าร่วมมองความสัมพันธ์และบริบททางประวัติศาสตร์ สังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมของสองเมือง เป็นแนวและแรงบันดาลใจในการสร้างงานศิลปะ
อาจจะเป็น "เอเธนส์เรียนรู้จากไทย" เสียมากกว่า สำหรับกรณีของอริญชย์นั้น วีธีการทำงานของเขาไม่ใช่การสร้างงานขึ้นมาใหม่ แต่อาศัยการค้นคว้าหาข้อมูล มาสร้างงานศิลปะจากเนื้อหาหรือวัตถุจากประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นจริง หลังจากได้รับการเชื้อเชิญให้เขาร่วมแสดงงาน เขาเดินทางไปเอเธนส์และค้นพบความเชื่อมโยงระหว่างประวัติศาสตร์การเมืองของประเทศไทยและประเทศกรีซ ที่พิพิธภัณฑ์การต่อต้านเผด็จการเพื่อประชาธิปไตย (Museum of Anti-dictatorial and Democratic Resistance)
"ตอนไปพิพิธภัณฑ์นี้ คนที่นำชมเขาถามเราว่าเรามาจากไหน เราบอกว่าเรามาจากไทย เขาก็เข้ามากอด แล้วบอกว่า คุณรู้ไหม ประเทศไทยเนี่ยเป็นแรงบันดาลใจให้เรา เราถึงได้ทำการเดินประท้วง หลังจากนั้นเขาก็พาเราไปดูหนังสือพิมพ์ของกรีซจากสมัยนั้นที่พาดหัวว่า "พรุ่งนี้เราจะเป็นแบบประเทศไทย"..." อริญชย์ กล่าว
การประท้วงครั้งนั้นคือการประท้วงวิทยาลัยเทคนิคเอเธนส์ (The Athens Polytechnic uprising) ซึ่งเป็นการลุกฮือต่อต้านรัฐบาลทหารของกรีซ ในเดือนพฤศจิกายน ปี 2516 หลังเหตุการณ์ประท้วง 14 ตุลาฯ ในปีเดียวกัน
หน้าหนังสือพิมพ์ดังกล่าวถูกนำมาแสดงในรูปภาพสีน้ำมันซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชุดผลงานที่ชื่อ "And then there were none (Tomorrow we will become Thailand.)" ซึ่งจัดแสดงอยุ่ที่พิพิธภัณฑ์เบนากิ ที่กรุงเอเธนส์ นอกภาพวาดจากหนังสือพิมพ์ที่รายงานเหตุการณ์ประท้วงครั้งนั้นที่เอเธนส์แล้ว อริญชย์ยังวาดภาพสีน้ำมันจากเหตุการณ์การประท้วง 14 ตุลาฯ ที่ปรากฎบนหน้าหนังสือพิมพ์ไทยแสดงควบคู่กันไปอีกด้วย
อริญชย์กล่าวว่า การสร้างภาพแสดงแทนอีกครั้ง ผ่านกระบวนการศิลปะ โดยใช้องค์กระกอบและวัตถุดิบที่ต่างไปทำให้เรามองภาพบนหนังสือพิมพ์ด้วยมุมมองที่แตกต่างไป
"ผมก็ไม่ได้พยายามจะแสดงทรรศนะหรือความคิดทางการเมือง แต่องค์ประกอบของภาพในงาน ความคู่ขนานของภาพและเหตุการณ์ มันก็ทำให้เราคิดได้ถึงว่าในปัจจุบันเนี่ย สิ่งที่มันเกิดขึ้นในตอนนั้นและผลลัพธ์ที่มันเกิดขึ้นในตอนนี้มันมีความแตกต่างกันหรือคล้ายคลึงกันยังไง"
ชื่อชุดผลงาน "And then there were none" ที่อริญชย์ว่า อาจเป็นการรำพึงรำพันถึงการกลับตาลปัตรของประวัติศาสตร์ จากที่ "เอเธนส์เรียนรู้จากประเทศไทย" กลับไปสู่การ "เรียนรู้จากเอเธนส์" ตามชื่อนิทรรศการอีกครั้ง จากที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของแรงบันดาลใจให้กรีซในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย 'แต่แล้ว[หลายทศวรรษผ่านไป] ก็ไม่เหลืออะไร'
อีกส่วนหนึ่งของชุดงานที่เอเธนส์คือ งานวิดีโอที่เชื้อเชิญคนที่อยู่ในเหตุการณ์ประท้วงทั้งสองเหตุการณ์มาเล่าเรื่องราวของตัวเอง โดยคนไทยที่เข้าร่วมคือหมอลำกลอนที่เคยถูกว่าจ้างให้ทำการแสดงให้กับทั้งฝั่งคอมมิวนิสต์และฝั่งรัฐบาลในยุค 70 ส่วนชาวกรีกคือผู้นำชมในพิพิธภัณฑ์การต่อต้านเผด็จการเพื่อประชาธิปไตยในเอเธนส์ที่ทำให้อริญชย์ได้เรียนรู้ความเชื่อมโยงทางประวัติศาสตร์นี้นั่นเอง
เช่นเดียวกับการแสดงภาพเหตุการณ์บนหน้าหนังสือพิมพ์อีกครั้งผ่านงานศิลปะ อริญชย์กล่าวว่า เรื่องราวแบบมุขปาฐะหรือการบอกเล่าต่อ ๆ กันมาอาจจะมีความ 'บิดเบือน' หรือ 'คลาดเคลื่อน' แต่มันก็เผยให้เห็นถึง 'ความเป็นมนุษย์' แบบที่ประวัติศาสตร์ที่ถูกบันทึกอย่างตรงไปตรงมาทำไม่ได้
ทูตไทยคือชื่อสุดท้ายในสมุดเยี่ยมฮิตเลอร์
ในสารคดี "Inside Hitler's Reich Chancellery" (ภายในทำเนียบจักรวรรดิไรช์ของฮิตเลอร์) โดย เยอร์เกน อาส, ดาเนียล อาส และ แคสติน เมาเออร์แบกเกอร์ ที่ฉายทางช่อง History ปรากฏหลักฐานว่าลายเซ็นสุดท้ายในสมุดเข้าเยี่ยมของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ก่อนเขาจะปลิดชีวิตตัวเองในหลุมหลบภัยใต้อาคารทำเนียบจักรวรรดิไรช์ เป็นของ พลตรี พระประศาสน์พิทยายุทธ หรือ วัน ชูถิ่น หนึ่งในคณะราษฎร ผู้ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ พ.ศ. 2475 ซึ่งในขณะนั้นเป็นเอกอัครราชทูตไทยประจำจักรวรรดิไรช์ที่สาม
นี่คือจุดเริ่มต้นของการสร้างชุดผลงานที่ชื่อ "246247596248914102516... And then there were none" จัดแสดงที่ Neue Neue Galerie ตึกไปรษณีย์เก่าที่ถูกปรับมาเป็นมาเป็นหนึ่งในที่จัดแสดงงานศิลปะหลักที่เมืองคาสเซิล ด้วยบทบาทสำคัญของพระประศาสน์พิทยายุทธ ซึ่งเป็นทหารบกชั้นผู้ใหญ่ผู้เข้าคุมตัวสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต จากวังบางขุนพรหม ในช่วงปฏิวัติสยาม อริญชย์จึงเลือกถอดแบบประติมากรรมนูนต่ำของอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยด้านที่แสดงภาพเหล่าทหารที่เข้าร่วมก่อการปฏิวัติสยาม
"ความสัมพันธ์ที่เราเห็นจากหลักฐานชิ้นนี้ มันทำให้เราเห็นว่าความเชื่อแบบชาตินิยมมันมีส่วนที่จะมาสนับสนุนว่าทำไมรัฐบาลไทยถึงมีความสัมพันธ์อันดีกับผู้นำรัฐบาลเยอรมนีหรือแม้กระทั่งรัฐบาลอิตาลีในสมัยนั้น ประติมากรรมนี้ทำให้เกิดความเข้าใจอันใหม่ว่า ตอนที่เขาเปลี่ยนผ่านการปกครองนั้นน่ะ มันเปลี่ยนที่จะเข้าไปสู่ระบอบประชาธิปไตยและในขณะเดียวกันมันก็มีความคิดแบบชาตินิยมเข้ามา ...ถ้าจะบอกว่าประเทศไทยในยุคนั้นมีวิธีการคิดสร้างชาติแบบชาตินิยมที่เลียนแบบเยอรมนี หรือว่าอิตาลี หรือว่าญี่ปุ่น ก็อาจจะมีความเป็นไปได้"
ลักษณะร่วมที่เด่นชัดระหว่าง การตอบสัมภาษณ์ของอริญชย์ และตัวงานประติมากรรมของเขาเอง ก็คือแนวโน้มที่จะ 'นิ่งเงียบ' และยกภาระการตีความและหาความหมายให้ผู้สัมภาษณ์และผู้ชมเอง เมื่อถามว่างานศิลปะของเขายืนอยู่ฝ่ายใด ฝ่ายคนที่เรียกร้องประชาธิปไตย หรือฝ่ายที่ลิดรอนความเป็นประชาธิปไตย อริญชย์กล่าวว่าเขาบอกไม่ได้ เขาระบุว่ามันอาจจะกลายเป็นแค่วัตถุทางศิลปะก็ได้ หรือมันอาจจะเป็นตัวแทนของการเรียกร้องประชาธิปไตยที่ไม่เคยสมบูรณ์เลยก็เป็นได้
สิ่งหนึ่งที่ทำให้คนดูอาจนึกถึงและอดเทียบเคียงไม่ได้คือ ทหารที่เป็นตัวละครในสัญลักษณ์ของประชาธิปไตยจากอดีตชิ้นนี้ กับบทบาททหารในบริบทปัจจุบันในการลิดรอนความเป็นประชาธิปไตยในประเทศชาติ
"อาจจะมองไม่ชัดถ้ามันอยู่ในพื้นที่ศิลปะที่เยอรมนี แต่ถ้ามันเคลื่อนย้าย มันก็จะทำให้มีความหมายอีกแบบหนึ่ง ถ้ามันเข้าไปอยู่ในพื้นที่มันมีความต้องการที่จะหาความหมายมากกว่า อย่างเช่นถ้ามันกลับไปที่เมืองไทย มันก็จะทำหน้าที่ของมันมากกว่า"
นอกจากนี้ อริญชย์ยังได้วาดภาพพระประศาสน์พิทยายุทธ คู่กับภรรยา คือ นางประศาสน์พิทยายุทธ (เนาว์ ชูถิ่น) และถอดแบบหน้าสมุดเข้าเยี่ยมของฮิตเลอร์ และหนังสือบันทึกที่ชื่อ "225 วัน ในคุกรัสเซีย" ของพระประศาสน์พิทยายุทธ ซึ่งจัดพิมพ์เป็นหนังสืออนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพของภรรยานางประศาสน์พิทยายุทธ เมื่อ พ.ศ.2491 มาจัดวางแสดงด้วย
บันทึกดังกล่าวของพระประศาสน์พิทยายุธกลายมาเป็นองค์ประกอบสำคัญของงานวิดีโอที่ยาวราว 40 นาที ซึ่งเป็นส่วนประกอบสุดท้ายของชุดผลงานที่ซับซ้อนและสวยงามที่สุดของงานอริญชย์ที่ด็อกคิวเมนตา
ในช่วงแรก ในขณะที่วิดีโอพาไปดูเบื้องหลังของการถอดแบบประติมากรรมด้วยเทคนิคสามมิติจากอนุสาวรีย์ กลับมีเสียงของอริญชย์ที่เล่าเรื่องชีวิตและประวัติครอบครัวตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของพ่อเขาที่โดนคนเยอรมันที่แม่อริญชย์เชื่อว่าเป็นลัทธินีโอนาซีรุมซ้อมและเสียชีวิตหลังจากนั้นไม่นาน ไปจนถึงเรื่องของทวดของอริญชย์ หลวงสมัครศัลยุธ ซึ่งเป็นหนึ่งในกบฏบวรเดช ที่พยายามจะยึดอำนาจคืน หนึ่งปีให้หลังจากปฏิวัติสยามแต่ก็โดนฝ่ายรัฐบาลปราบปรามในที่สุด
ในช่วงหลังของวิดีโอ ในขณะที่ผู้ชมฟังเสียงบรรยายที่อ่านจากบันทึกของพระประศาสน์พิทยายุทธที่เล่าถึงช่วงที่เขาได้พบเจออดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ไปจนถึงความยากลำบากของการถูกจองจำ 225 วันในคุกรัสเซียหลังกรุงเบอร์ลินถูกกองทัพบุกเข้ายึดช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ภาพในวิดีโอเป็นนักเต้นชายหญิงสองคนที่เห็นชัดได้ว่าเคลื่อนไหวตามการตีความต่อเนื้อหาจากบันทึกที่ผู้ชมกำลังได้ยิน สถานที่ที่พวกเขากำลังเต้นอยู่นั้นไม่ใช่ที่ไหน แต่เป็นลานจอดรถซึ่งคือจุดเดียวกันกับที่อาคารทำเนียบจักรวรรดิไรช์ของฮิตเลอร์เคยตั้งอยู่นั่นเอง
"ผมพยายามหาความเป็นได้ในการสร้างเนื้อหาใหม่ๆ ที่มันไม่จำเป็นที่ต้องยึดติดกับโครงสร้างประวัติศาสตร์ที่ถูกพัฒนามาก่อนหน้านั้น การใช้ประวัติศาสตร์ส่วนตัว อะไรที่เป็นเรื่องเล่า นานๆ ไป มันเป็นตำนาน อยู่ในพื้นที่ของจินตนาการมากกว่าพื้นที่ของความจริง อันนี้เป็นสิ่งที่ผมสนใจ"
วิดีโอชิ้นนี้เป็นส่วนที่ซับซ้อนที่สุดของผลงานอริญชย์ด้วยความย้อนแย้งของในตัวเนื้อหา การปนเประหว่างเรื่องเล่าส่วนตัวกับประวัติศาสตร์ประเทศ ภาพที่เราเห็นคือการเบื้องหลังการถอดแบบและหล่อประติมากรรมจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยแต่อริญชย์กำลังเล่าเรื่องทวดของตัวเองที่ล้มเหลวจากการพยายามยึดอำนาจคืนจากกลุ่มคนที่นำมาซึ่งอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย บันทึกของพระประศาสน์พิทยายุทธเล่าถึงความโชติช่วงของภายใต้การนำของฮิตเลอร์ถูกวางคู่ไปกับการตายของพ่ออริญชย์เองที่เกิดจากความคิดหัวรุนแรงหลังสงครามโลกครั้งที่สองที่ต้องการฟื้นฟูลัทธินาซี
ด้วยงานวิดีโอชิ้นนี้ ก่อให้เกิดความรู้สึกราวกับว่าอริญชย์ต้องการจะบอกผ่านงานศิลปะทั้งหมดของเขาเพียงว่า ทุกอย่างมันไม่ง่ายเช่นนั้น ความเป็นจริงคือการผสมปนเปอย่างไร้ที่มาที่ไปของสิ่งต่างๆ ไม่มีกระแสความคิดหรือเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ชุดใดที่จะจะถูกต้องและชอบธรรมอย่างเบ็ดเสร็จ
จากที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเป็นสัญลักษณ์ของการปฏิวัติสยาม ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ ปี 2516 จากส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ "พฤษภาทมิฬ" เมื่อปี 2535 สู่แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เมื่อปี 2553 ไปจนถึงการต่อต้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ของกลุ่มที่เรียกตัวเองว่าคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) เมื่อช่วงปี 2556-2557
และงานประติมากรรมชิ้นนี้ของอริญชย์ก็คล้ายจะย้ำว่าการช่วงชิงความชอบธรรมของแต่กลุ่มแต่ละฝ่ายอย่างก็จะดำเนินเรื่อยไปอย่างไม่มีวันจบ
การผนวกรวมเนื้อหาส่วนตัวเข้าไปในเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ก็สะท้อนให้เห็นถึงมิติอันซับซ้อนของสังคมใหม่ไทยที่นับวันความคิดแย้งทางการเมืองยิ่งจะทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
ในช่วงท้ายของวิดีโอ อริญชย์ตั้งคำถามถึงความเป็นไปได้ที่เขาจะเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างตัวเขาและคนอื่นๆ ในขณะที่ "เวลาที่เคลื่อนที่กำกับไว้ทุกขณะ" และจบด้วยการรำพึงถึงแม่ของเขา
"…..แม่ผมป่วยหนัก อีกไม่นานแม่ต้องจากไป ผมยังจำได้ถึงช่วงเวลาตอนเด็ก แม่ฉีดพรมน้ำหอมลงบนตัว นั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ขณะเดียวกันแม่ก็เล่าเรื่องพ่อให้ฟัง ผมนั่งบนพื้น มองไปที่แม่ แล้วนึกในใจว่า "แม่ผมสวยเหลือเกิน"..."
จากบริบททางการเมืองและประวัติศาสตร์ ข้ามไปมาระหว่างอดีตและปัจจุบัน กลับมาสู่เรื่องส่วนตัวที่สุดของเขา จริงอยู่ที่เราไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมการที่แม่อริญชย์กำลังจะจากไป และความสวยของแม่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งของแม่ ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของการผสมรวมของประวัติศาสตร์อันยุ่งเหยิงในวิดีโอชิ้นนี้
แต่บทรำถึงถึงแม่อริญชย์ส่วนนี้ก็อาจจะเป็นส่วนประกอบที่สวยงามที่สุดของงานชุดนี้ของเขา
ขึ้นอยู่กับบริบทของคนดูแต่ละคนว่าต้องการหาความหมายของมันมากน้อยเพียงใด
เรื่องและวิดีโอโดย ก้าวหน้า พงศ์พิพัฒน์ ผู้สื่อข่าวบีบีซีไทย