ศาลสั่งจำคุก พล.ท. มนัส อีก 20 ปี จากคดีฟอกเงินค้ามนุษย์ รวมคดีเก่าเพิ่มเป็น 47 ปี
- Author, ฐิติพล ปัญญาลิมปนันท์ & วัชชิรานนท์ ทองเทพ
- Role, ผู้สื่อข่าวบีบีซีไทย
สื่อหลายสำนักรายงานตรงกันในวันนี้ (15 พ.ค.) ว่า เมื่อวานนี้ (14 พ.ค.) ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ได้อ่านคำพิพากษาคดีร่วมกันฟอกเงินค้ามนุษย์โรฮิงญา หมายเลขดำ ฟย.16/2559 ที่ พนักงานอัยการ คดีพิเศษ 3 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายชลชาสน์ ไชยมณี จำเลยที่ 1 กับพวก รวม 54 คน เป็นจำเลย สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐาน ฟอกเงิน และร่วมกันฟอกเงิน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542
ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายแล้วที่นำสืบหักล้างแล้วเห็นว่า พวกจำเลยร่วมกันกระทำความผิดตามฟ้อง โดยในจำนวนจำเลยทั้งหมด มี พล.ท. มนัส คงแป้น อดีตผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก เป็นจำเลยที่ 46 รวมอยู่ด้วย โดยศาลมีคำสั่งจำคุก พล.ท.มนัส รวม 2 ข้อหาเป็นระยะเวลา 40 ปี แต่ให้จำคุกได้ไม่เกิน 20 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 (20) ส่วนจำเลยสำคัญอีกคนคือ นายปัจจุบัน อังโชติพันธุ์ หรือ "โกโต้ง" อดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) สตูลจำเลยที่ 14 สั่งจำคุมรวม 10 ปี
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 19 ก.ค. 2560 ศาลอาญา ได้มีพิพากษาคดีค้ามนุษย์โรฮิงญา ได้สั่งจำคุก พล.ท.มนัส ไว้แล้ว 27 ปี เมื่อรวมโทษคดีฟอกเงินที่ได้จากการค้ามนุษย์ ครั้งล่าสุดนี้ คิดระยะเวลาจำคุกรวม 47 ปี ส่วนโกโต้ง จำคุกเพิ่มเป็น 85 ปี
เว็บไซต์มติชนรายงานว่า คดีนี้ โจทก์ฟ้องสรุปว่า เมื่อระหว่างปี 2554 -2558 พวกจำเลยได้สมคบและตกลงกัน ตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินจากการค้ามนุษย์โรฮิงญา โดยร่วมกันกระทำความผิดเปิดบัญชีธนาคารรับโอนเงิน ฝากเงิน เปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดหรือซุกซ่อนหรือปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สิน และการกระทำด้วยประการใด ๆ เพื่อปกปิด หรืออำพรางลักษณะที่แท้จริงการได้มาซึ่งแหล่งที่ตั้ง การจำหน่าย การโอน การได้สิทธิใด ๆ ที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด อันเป็นการฟอกเงิน รวมยอดเงินหมุนเวียนในการกระทำความผิด รวม 443,389,468 บาท ไปซื้อ ที่ดิน 27 แปลง ใน จ.สตูล รวม 7,709,308 บาท, ก่อสร้างโรงแรมมายด์เซเว่น ราคา 27 ล้านบาท, ซื้อรถยนต์ 4 คัน ราคา 14.1 ล้านบาท เรือเร็ว 1 ลำ ราคา 4.5 ล้านบาท และเรืออีก 1 ลำ ราคา 1.6 ล้านบาท เป็นต้น เหตุเกิดที่ จ.ระนอง จ.สงขลา จ.สตูล จ.กระบี่ เกี่ยวพันกัน พวกจำเลยให้การปฏิเสธ
คดีก่อนหน้านี้
ในวันที่ 19 พ.ค. 2560 ศาลอาญาแผนกคดีค้ามนุษย์พิพากษาให้ พล.ท. มนัส และนายปัจจุบัน มีความผิดในคดีค้ามนุษย์ชาวมุสลิมโรฮิงญา
ในขณะนั้นคดีนี้ถือเป็นคดีประวัติศาสตร์ที่ได้รับความสนใจจากสาธารณชนและสื่อมวลชนทั้งไทยและต่างชาติ โดยศาลตัดสินให้มีความผิด 62 รายจากจำเลยทั้งหมด 103 ราย ในฐานความผิดต่างกัน อาทิ เป็นสมาชิกองค์กรอาชญากรรมต่างชาติ, สมคบและร่วมกันค้ามนุษย์, นำพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักร, รับและให้ที่พักคนต่างด้าว, ความผิดต่อเสรีภาพ, เรียกค่าไถ่ และทำร้ายผู้อื่นจนถึงแก่ความตาย โดยให้ลงโทษจำคุกตั้งแต่ 4 ปี ถึง 94 ปี
พล.ท. มนัส คงแป้น อดีตผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก ถูกตัดสินจำคุก 27 ปี ฐานมีส่วนในองค์กรอาชญกรรมข้ามชาติและความผิดฐานค้ามนุษย์ 3 คดี และยังพบอีกว่าการมีรับโอนเงินจากเครือข่ายค้ามนุษย์ราว 13 ล้านบาท
เรื่องราวดังกล่าวสั่นสะเทือนไปทั้งกองทัพ จน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกมาโวยสื่อเมื่อถูกถามเกี่ยวกับผู้ทรงคุณวุฒิในกองทัพพัวพันกับคดีนี้ บอกว่าทหารคนเดียวไม่ได้ทำให้กองทัพเจ๊ง
ผู้ต้องหาคนสำคัญอีกหนึ่งคนคือ นายปัจจุบัน อังโชติพันธุ์ หรือ "โกโต้ง" อดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) สตูล ซึ่งถูกศาลตัดสินจำคุก 75 ปี จากความผิด 6 คดี ได้แก่ 1) มีส่วนร่วมกับองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ 2) ค้ามนุษย์และเด็ก 3 กระทง 3) ร่วมกัน 3 คนขึ้นไปกระทำผิดค้ามนุษย์ 4) สมคบคิด 2 คนขึ้นไปเพื่อการค้ามนุษย์ 5) นำพาแรงงานต่างด้าวผิดกฏหมาย และ 6) ให้ที่พักพิงแรงงานต่างด้าวผิดกฏหมาย
"ประยุทธ์" วอนอย่าเหมารวมทั้งกองทัพ
ระหว่างศาลตัดสินคดีนี้ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่าในขณะนั้น ไม่ทราบว่าการตัดสินของศาลในเวลานั้นมีผลต่อภาพลักษณ์ของประเทศในเรื่องการค้ามนุษย์แค่ไหน ส่วนกรณีของ พล.ท. มนัสเป็นเพียงแค่ทหารคนหนึ่งของกองทัพเท่านั้น
"อย่าลืมว่าทหารทั้งประเทศมีถึง 4-5 แสนคน ไอ้มนัสเป็นเพียงคนเดียว มันจะทำให้เจ๊งทั้งหมด กองทัพเจ๊งทั้งระบบหรืออย่างไร" พล.อ. ประยุทธ์กล่าว
โดยในช่วงเช้าของวันที่ 19 ก.ค. ศาลพิจารณาแล้วพบว่าจำเลยกลุ่มผู้บริหารท้องถิ่น ประกอบด้วย นายบรรณจง ปองผล หรือโกจง อดีตนายกเทศมนตรีเมืองปาดังเบซาร์ จำเลยที่ 1 นายอ่าสัน อินทธนู อดีตสมาชิกสภาเทศบาลเมืองปาดังเบซาร์ จังหวัดสงขลา จำเลยที่ 2 และนายประสิทธิ์ เหล็มเหล๊ะ อดีตรองนายกเทศมนตรีตำบลปาดังเบซาร์ จำเลยที่ 6 เป็นขบวนการจัดหาแรงงานในพื้นที่ กระทำความผิดฐานค้ามนุษย์ ต่อบุคคลอายุ 15-18 ปี และมีส่วนร่วมกับองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งจำเลยทั้งหมดเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย จึงมีคำตัดสินให้รับโทษ 2 เท่า
ต่อมาในช่วงบ่ายของวันดังกล่าว ศาลยังได้พิเคราะห์ถึงพฤติการณ์จำเลยอีกกลุ่มที่เป็นผู้ขนส่งแรงงานและเป็นผู้ดูแลเส้นทางโดยพยานหลักฐานโจทก์ พบความเชื่อมโยงระหว่างจำเลย ซึ่งมีการใช้โทรศัพท์ติดต่อกัน แม้จำเลยบางคนจะต่อสู้อ้างว่ารับจ้างขนส่งสินค้าไม่ทราบว่ามีการขนส่งแรงงานโรฮิงญานั้น ก็เป็นข้ออ้างเลื่อนลอย เนื่องจากมีหลักฐานตรวจสอบการใช้โทรศัพท์เมื่อจำเลยมีความเชื่อมโยงกัน ย่อมรับรู้ถึงเหตุการณ์
คดีประวัติศาสตร์ต่างชาติสนใจ
สำหรับบรรยากาศที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เต็มไปด้วยบุคคลที่สนใจในคดีทั้งจากญาติของจำเลยและผู้เสียหายเข้าร่วมฟังการพิจารณาจำนวนมาก เช่นเดียวกันกับสื่อมวลชนไทยทุกสำนัก รวมทั้งสื่อมวลชนต่างชาติต่างให้ความสนใจ
อย่างไรก็ตาม ศาลไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนเข้าร่วมรับฟังการพิจารณาคดีในห้องพิจารณาคดี แต่ได้จัดบริเวณนั่งฟังผลที่ห้องอื่นแทน โดยมีการเชื่อมโยงสัญญาณถ่ายทอดภาพและเสียงการอ่านคำพิพากษาคดี ผ่านกล้องวงจรปิด
ด้านมาตรการรักษาความปลอดภัยนั้น เว็บไซต์มติชนรายงานว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองปราบปรามกว่า 60 นายดูแลความเรียบร้อยบริเวณโดยรอบศาลอาญา รัชดาภิเษก โดยเน้นการตรวจสอบหาอาวุธหรือวัตถุต้องสงสัย เพื่อดูแลความเรียบร้อย
สำหรับคดีนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 2558 เมื่อทางการไทยเข้าทลายเครือข่ายค้ามนุษย์ หลังจากขุดค้นพบร่างชาวโรฮิงญาจำนวนหลายสิบศพบนเทือกเขาแก้ว จังหวัดสงขลา ซึ่งถูกใช้เป็นค่ายสำหรับพักและกักขังชาวเมียนมาและบังกลาเทศ ก่อนส่งผ่านไปยังมาเลเซีย
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานในขณะนั้นว่า ในอดีตไทยเป็นแหล่งหรือเป้าหมายหรือจุดพักของกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการค้ามนุษย์จากประเทศที่ยากจนกว่า เช่น กัมพูชา ลาว เมียนมา ที่ต้องการเดินทางมาทำงานในไทย หรือเดินทางต่อไปยังประเทศอื่น อย่างมาเลเซีย เพื่อขายแรงงานและการค้าประเวณี
คดีร้ายแรง ทหารพัวพัน
เมื่อมีเริ่มกระบวนการสอบสวนและขยายผลทำให้พบการเชื่อมโยงบุคคลทั้งข้าราชการระดับสูง นักการเมืองท้องถิ่นและนายหน้าจากเมียนมา โดยบุคคลสำคัญที่ถูกกล่าวถึง คือ พล.ท. มนัส คงแป้น อดีตผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก
สำหรับคดีนี้ พนักงานอัยการคดีค้ามนุษย์เป็นโจทก์ มีข้าราชการและพลเรือนเป็นจำเลยที่ 1-103 ในความผิด 16 ข้อหา ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ฯ พ.ศ.2551 และพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ฯ พ.ศ.2546 ต่อมาเมื่อวันที่ 10 ต.ค. 2558 ได้มีการโอนคดีดังกล่าวจากศาลนาทวี มาพิจารณาคดีที่แผนกคดีค้ามนุษย์ของศาลอาญาแทน
เนื่องจากเป็นคดีร้ายแรง และมีอัตราโทษสูงถึงการประหารชีวิต จึงทำให้การพิจารณาคดีนี้จำเลยทั้งหมดไม่ได้รับการประกันตัว โดยศาลทำการไต่สวนพยานรวม 116 นัดต่อเนื่อง ตั้งแต่เดือน มี.ค. 2559 เดือนละ 8 วัน โดยไม่มีการเลื่อนคดี หรือยกเลิกนัดแต่อย่างใด
หมายเหตุ: ข่าวนี้ได้รับการปรับปรุงแก้ไขจากต้นฉบับที่ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อวันที่ 20 ก.ค. 2560