พิพากษาคดีจำนำข้าว 25 ส.ค. ชี้ชะตา ยิ่งลักษณ์ กับ 2 อดีต รมต.
- หทัยกาญจน์ ตรีสุวรรณ
- ผู้สื่อข่าวบีบีซีไทย
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดฟังคำพิพากษาคดีจำนำข้าว ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ตกเป็นจำเลย วันที่ 25 ส.ค.นี้ เวลา 09.30 น.
ศาลอนุญาตให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์แถลงปิดคดีด้วยวาจา วันที่ 1 ส.ค. 2560 และอนุญาตให้คู่ความทั้ง 2 ฝ่ายยื่นคำแถลงการณ์ปิดคดีเป็นลายลักษณ์อักษรภายในวันที่ 15 ส.ค. 2560 หากไม่ยื่นภายในกำหนดถือว่าไม่ติดใจยื่นแถลงปิดคดี
ส่วนคำร้องขอให้ศาลฎีกาฯ ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ามาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2542 ขัดต่อรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 หรือไม่นั้น ศาลได้ยกคำร้อง ด้วยเหตุผล "ศาลได้ให้คู่ความทั้งสองฝ่ายนำพยานหลักฐานเข้าไต่สวนเพิ่มเติม โดยโจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติม 21 ครั้ง ไต่สวนพยาน 15 ปาก ใช้เวลาไต่สวน 10 นัด จำเลยยื่นบัญชีพยานเพิ่มเติม 51 ครั้ง ไต่สวนพยาน 30 ปาก ใช้เวลาไต่สวน 16 นัด อันเป็นการให้คู่ความทั้งสองนำพยานมาให้ศาลไต่สวนเต็มที่แล้ว ทั้งนี้เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม แก่คู่ความทั้งสองฝ่าย อันเป็นหลักการสำคัญ ของการไต่สวน ตามคำร้องของจำเลยและเหตุผลที่ยกขึ้นมาอ้างนั้นยังไม่เข้าเกณฑ์ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 212 ที่ศาลจะต้องส่งความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย"
ถือว่าคดีเสร็จการไต่สวนพยานโจทก์และจำเลยรวม 45 ปาก เริ่มตั้งแต่ 15 ม.ค. 2559
1) 2 ปี 4 เดือน ยิ่งลักษณ์วิ่งขึ้นศาล 26 นัด
คดีนี้ศาลรับฟ้องเป็นคดีที่ อม.22/2558 เมื่อวันที่ 19 มี.ค. 2558 หลังอัยการสูงสุดยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ในความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ และความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ตามกฎหมาย ป.ป.ช. กรณีปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว ในคำฟ้องนี้ อัยการไม่ได้ระบุมูลค่าความเสียหาย แต่คณะกรรมการสอบความเสียหายของกระทรวงการคลังประเมินว่า สร้างความเสียหายแก่รัฐ 5.1 แสนล้านบาท
ในช่วง 28 เดือนที่ผ่านมา เธอต้องวิ่งขึ้น-ลงศาล 26 นัด เนื่องจากศาลกำหนดให้เข้าร่วมกระบวนการไต่สวนพยานทุกนัดตั้งแต่วันแรกถึงวันสุดท้าย ไม่เช่นนั้นจะถูกสั่งถอนประกัน-ปรับเงินประกัน 30 ล้านบาท-ออกหมายจับ
ที่มา : บีบีซีไทยรวบรวม
2) แท็กติกกฎหมายถูกตีตก
นอกจากพยานหลักฐานและพยานบุคคลที่ต่างฝ่ายต่างงัดขึ้นมาแสดงต่อศาล เพื่อต่อสู้-หักล้างข้อมูลของอีกฝ่าย ทีมทนายของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ยังใช้ "แท็กติกทางกฎหมาย" ยก "ข้อต่อสู้เพิ่มเติม" เข้าสู่ศาลอย่างต่อเนื่อง ถูกตีตก-ยกคำร้องไปแล้ว 5 ครั้ง ได้แก่
- 31 ส.ค. 2558 ยื่นคำร้องขอให้ศาลรอการพิจารณาคดีไว้ชั่วคราว เนื่องจากเห็นว่า คดีนี้ไม่อยู่ในอำนาจของศาลฎีกาฯ แต่อยู่ในอำนาจของศาลปกครอง
- 31 ส.ค. 2558 ยื่นคำร้องคัดค้านพยานบุคคล 23 ปาก และพยานเอกสารที่ปรากฏในบัญชีพยานของโจทก์ โดยอ้างว่าเป็นพยานหลักฐานที่ไม่ปรากฏในชั้นของการไต่สวนมาก่อน
- 29 ก.ย. 2558 ยื่นฟ้องอัยการสูงสุดต่อศาลอาญา ฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบกรณีสั่งฟ้องคดีรับจำนำข้าว แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฟ้อง
- 29 มิ.ย. 2560 ยื่นคำร้องขอให้ศาลออกไปเผชิญสืบโรงสีข้าวและคลังเก็บข้าวที่ จ.อ่างทอง 16 แห่ง หลังกระทรวงพาณิชย์ตรวจพบว่าเป็นไปตามบัญชี-ไร้ความเสียหาย
- 7 ก.ค. 2560 ยื่นต่อศาลฎีกาฯ เพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ามาตรา 5 ของ พ.ร.บ.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2542 ขัดหรือแย้งกับมาตรา 235 วรรค 6 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 หรือไม่ หลังโจทก์อาศัยช่องทางตามกฎหมายวิธีพิจารณาคดีอาญาฯ เพิ่มเติมพยานหลักฐานใหม่โดยเฉพาะพยานเอกสารเกือบ 7 หมื่นแผ่นเข้ามาในคดี ทั้งที่ไม่อยู่ในสำนวนของ ป.ป.ช. ขณะที่รัฐธรรมนูญที่เพิ่งประกาศใช้บัญญัติว่า "การพิจารณาของศาลฎีกาฯ ให้นำสำนวนการไต่สวนของ ป.ป.ช. เป็นหลักในการพิจารณา" และกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมว่า "เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ให้ศาลมีอำนาจไต่สวนข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพิ่มเติมได้"
ท้ายที่สุดข้อต่อสู้เรื่องการ "สอดไส้บัญชีพยานเอกสาร" ที่ไม่ปรากฏในสำนวนของ ป.ป.ช. ก็ถูกตีตกรอบ 2 ในวันนี้ หลังจากปี 2558 องค์คณะผู้พิพากษาเคยสั่งยกคำร้องมาแล้วครั้งหนึ่ง
ปฏิบัติการ "ดิ้นเฮือกสุดท้าย" จึงถูก นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ คู่ปรับการเมือง ชี้ว่าเป็นความพยายาม "ต่อชะตา-ซื้อเวลา"
ก่อนหน้านี้ คณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย กล่าวยอมรับกับบีบีซีไทยว่า "ไม่ได้คาดหวังมากนักว่าจะมีการส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ เพียงแต่ต้องการบันทึกเอาไว้ว่าเราไม่เห็นด้วยกับการสอดไส้บัญชีพยาน เพราะแสดงให้เห็นว่าสำนวน ป.ป.ช.ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ตั้งแต่ต้น และพยานหลักฐานที่เพิ่มขึ้นมา ก็เป็นสำนวนของคดีอื่น โดยเฉพาะคดีทุจริตระบายข้าวแบบจีทูจีของนายบุญทรง เตริยาภิรมย์"
3) เดินขึ้นศาลควบคู่เดินสายพบมวลชน
นอกจากการขับเคลื่อนทางคดีโดยทีมที่ปรึกษาด้านกฎหมาย ยังมีคำแนะนำจากทีมกุนซือการเมืองให้อดีตนายกฯ เคลื่อนตัวเข้าหามวลชนรากหญ้าโดยเฉพาะ "ชาวนา" ผู้มีส่วนได้-ส่วนเสียโดยตรงจากนโยบายรับจำนำข้าว เพื่อให้กระบวนการต่อสู้ 2 ขาสอดประสานกัน
ในวันแถลงเปิดคดีด้วยวาจา (5 ส.ค. 2559) ซึ่งใช้เวลา 75 นาที น.ส.ยิ่งลักษณ์ระบุตอนหนึ่งว่า "อยากขอความเป็นธรรมกับศาลว่าสิ่งที่ให้กับชาวนา มันมากเกินไปหรือ"
กิจกรรมสำคัญของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ที่เกิดขึ้นในปี 2559 จึงอยู่ที่การเดินสายรับซื้อข้าวจากชาวนาภาคอีสาน ก่อนมาเปิดขายที่ห้างกลางกรุงเทพฯ เพื่อช่วยเหลือกรณีราคาข้าวตกต่ำเหลือ 8 บาท/กิโลกรัม ทั้งนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ปฏิเสธพร้อมน้ำตาว่าการลงพื้นที่ไม่ใช่การสร้างภาพเพื่อหวังผลทางการเมือง หรือจงใจสร้าง "ดราม่า"
"ชาวนานั้นทุกข์มาก ไม่มีแม้กระทั่งข้าวสารกรอกหม้อ ไม่มีแม้เงินใช้จ่ายประจำวัน แต่ก็ยังมาให้กำลังใจดิฉัน" น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าว
นอกจากนี้ยังมีชาวนาเดินทางมาให้กำลังใจอดีตนายกฯ ในการนัดไต่สวนพยานหลายนัด เช่น ชาวนาอุบลฯ ยกพลมา 3 คันรถบัส เมื่อวันที่ 4 พ.ย. 2559 จากนั้นในการขึ้นศาลนัดอื่นๆ ก็มีชาวนาจาก จ.ยโสธร อำนาจเจริญ อุบลราชธานี และปทุมธานี และอีกหลายจังหวัดเดินทางมาให้กำลังใจ
กระทั่งเข้าสู่โค้งสุดท้าย-ไต่สวนพยานฝ่ายจำเลย 3 นัดสุดท้าย สถานีโทรทัศน์ TV24 จัดทำรายงานพิเศษเรื่องชาวนากับยิ่งลักษณ์ออกอากาศในทุกช่วงข่าว
ตอกย้ำด้วยสุดยอดประเด็น "ดราม่า" ส่งท้ายคดี นั่นคือ "น้ำตานารี" เมื่อวันที่ 21 มิ.ย. 2560 ซึ่งตรงกับวันครบรอบวันคล้ายวันเกิดปีที่ 50 น.ส.ยิ่งลักษณ์งดจัดเลี้ยง ส.ส. หันไปเดินสายทำบุญที่วัดด้วยเหตุผล "เจอแต่เรื่องหนักหนา"
นี่เป็นอีกครั้งที่เธอน้ำตานองหน้าระหว่างให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน
"หวังว่าหลังวันเกิดจะมีสิ่งที่ดีเข้ามาบ้าง และหวังให้ปีหน้า จะมีโอกาสกลับมาทำบุญที่นี่อีกครั้ง" น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าว
จนถูกนำคำพูดไปถอดรหัส-ตีความยกใหญ่
จากนั้นเพียง 4 วัน บ้านพักในซอยโยธินพัฒนาของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็เปิดต้อนรับ "แฟนเพจ" ในการจัดมีตติ้งครบ 6 ล้านไลค์ ต่อด้วยการปล่อยภาพกิจกรรมร่วมกับประชาชนประดิษฐ์ดอกดารารัตน์ เพื่อถวายในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ตามด้วยเดินสายทำบุญทั่วไทย
สำหรับการขึ้นศาลนัดสุดท้าย 21 ก.ค. 2560 อดีตรัฐมนตรี และอดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทยต่างมาให้กำลังใจอดีตนายกฯ มากเป็นพิเศษ ถึงขนาดมีการจัดแถวถ่ายรูปหน้าศาล
ไม่ต่างจากมวลชน "คนรักยิ่งลักษณ์"ที่เดินทางมาแบบไม่เกรงกลัวการส่งเสียงปรามจากรัฐบาล คสช. ที่ว่า "ไม่ควรมา" ถึงขนาดที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ขอให้สื่อมวลชนเขียนเตือนประชาชนว่า "ต้องเคารพศาล"
"คุณ (สื่อ) ก็ต้องสอนคนว่าถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องมา ดูที่บ้านก็ได้ มาแล้วจะเกิดอะไรขึ้น คุณก็รู้ว่าคนต้องการอะไร คุณก็จะไปจุดชนวนแบบนี้ให้ผมตลอด แบบนี้ไม่ไหว พอแล้ว" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
ในระหว่างใช้เวลา 45 นาทีฝ่าวงล้อมมวลชนไปถึงทางเข้าศาล เสียงตะโกนเชียร์ "ยิ่งลักษณ์สู้ๆ" ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้บางช่วง อดีตนายกฯ ถึงกับน้ำตารื้น
ภาพที่ปรากฏตอกย้ำความเชื่อที่ว่า "อดีตนายกฯ" ผู้ตกที่นั่ง "จำเลย" มีมวลชนอยู่ข้างหลัง บุคคลระดับนำของพรรคเพื่อไทย-ทีมกฎหมายจึงตัดสินใจยื่นขอแถลงปิดคดีด้วยวาจา เพราะถ้อยคำสำคัญจากปาก "นายกฯ หญิงคนแรกของไทย" ในวันที่ 1 ส.ค. ไม่ใช่แค่การพูดกับศาล แต่เป็นการสื่อสารถึงมวลชน
"วันนี้คงไม่ขอให้สัมภาษณ์ใดๆ แต่ขอขอบคุณสื่อมวลชนและประชาชนที่มาให้กำลังใจที่ศาลทุกนัด" น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าว
ก่อนทราบผลแห่งคดีในวันที่ 25 ส.ค. วันเดียวกับที่ศาลนัดพิพากษาคดีทุจริตระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ของนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ และนายภูมิ สาระผล อดีต รมช.พาณิชย์ของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ เนื่องจากองค์คณะผู้พิพากษาทั้ง 2 สำนวน พบว่า มี 5 จาก 9 คนที่ร่วมพิจารณาทั้ง 2 คดี
ปิดฉากการต่อสู้ของ 1 อดีตนายกฯ 2 อดีตรัฐมนตรีไปพร้อมกัน!!!