รมว.ตปท.รัสเซีย พบนายกฯ ผลักดันการค้าเพิ่ม 5 เท่า
รมว.ต่างประเทศรัสเซีย กระชับสัมพันธ์ไทยวาระครบ 120 ปี สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต เข้าหารือนายกรัฐมนตรี พร้อมผลักดันมูลค่าการค้าระหว่างกันเพิ่ม 5 เท่า โดยนายกฯ ได้ชวนภาคเอกชนรัสเซียลงทุนระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ตั้งศูนย์ซ่อมอากาศยานในไทย พร้อมขออำนวยความสะดวกให้นักลงทุนไทยลงทุนในรัสเซีย ขยายการค้ากับกลุ่มประเทศยูเรเซีย
พล.ท.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงหลังการหารือระหว่างนายเซอร์เกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย ที่เข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในวาระการเยือนประเทศไทยเพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางการทูต วันนี้ (10 ส.ค.) ว่า ทั้งไทยและรัสเซีย ได้ยืนยันความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างกันที่ดำเนินมาจนครบรอบปีที่ 120
พล.ท.วีรชน ระบุว่า ในด้านความสัมพันธ์ทางการค้า ไทยและรัสเซีย พร้อมผลักดันมูลค่าทางการค้าทวิภาคีให้เพิ่มขึ้น 5 เท่า ภายใน 3 ปี และส่งเสริมให้เพิ่มการลงทุนระหว่างกัน โดย พล.อ.ประยุทธ์ ได้เชิญชวนให้ภาคเอกชนรัสเซียเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรม S-Curve และในโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกหรืออีอีซีด้วย รวมทั้งการเข้ามาตั้งศูนย์ซ่อมอากาศยานในไทย
นายกรัฐมนตรี ยังขอให้รัสเซียอำนวยความสะดวกให้นักลงทุนไทยในรัสเซียในเขตภูมิภาคตะวันออกไกลด้วย โดย พล.ท.วีรชน กล่าวว่า นายลาฟรอฟ บอกว่ารัสเซียยินดีให้สิทธิประโยชน์แก่ภาคเอกชนไทย และพร้อมผลักดันให้มีการเริ่มเจรจาการค้าเสรีระหว่างกัน โดยเห็นว่าไทยมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในอาเซียน
ทั้งนี้ นายกฯ ยังปรารภกับ รมว.ต่างประเทศรัสเซีย ถึงโอกาสในการได้พบปะหารือกับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินของรัสเซีย ในช่วงการประชุม BRICS Summit ที่ประเทศจีน ในเดือน ก.ย.นี้
การเยือนไทยของรัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซียครั้งนี้มีขึ้นเพียง 2 วันหลังจากนายเร็กซ์ ทิลเลอร์สัน รัฐมนตรี รมว.ตปท. สหรัฐฯ เยือนไทยในฐานะเจ้าหน้าที่ระดับรัฐมนตรีว่าการคนแรกของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่มาเยือนไทยหลังการทำรัฐประหารปี2557
นับตั้งแต่รัฐบาล คสช.เข้าบริหารประเทศ ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับรัสเซียดูแน่นแฟ้นขึ้น โดยไม่ต้องนับรวมเรื่องที่ว่าไทยกับรัสเซียมีความสัมพันธ์ทางการทูตยืนยาวมาถึง 120 ปีแล้ว
ช่วงสองปีที่ผ่านมา ไทยและรัสเซียต่างส่งผู้แทนเดินทางเยือนกันและกันหลายครั้ง เริ่มตั้งแต่ นายดมิทรี เมดเวเดฟ นายกรัฐมนตรีรัสเซีย มาไทยเมื่อเดือนเมษายน 2558 หลังรัฐประหารเพียงไม่ถึงปี ตามมาด้วยการเยือนรัสเซียของพล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรีและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในขณะนั้น ในเดือนกรกฎาคม ปีเดียวกัน
พล.อ.ประยุทธ์ เองก็ไปเยือนรัสเซียเมื่อเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว และล่าสุดปีนี้ พล.อ.โอเลก แอล ซาลยูคอฟ ผู้บัญชาการทหารบกรัสเซีย ก็เพิ่งมาไทย
การเยือนรัสเซียของ พล.อ.ประยุทธ์ นับเป็นการเยือนครั้งแรกของผู้นำไทยในรอบ 11 ปี ซึ่งมีขึ้นก่อนที่จะผู้นำไทยจะได้ไปเยือนโลกเสรีอย่างสหรัฐฯ เสียอีก ภาพข่าวที่เผยแพร่ออกมาในช่วงนั้นชี้ให้เห็นว่าการพบปะของผู้นำไทยกับนายวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย เป็นไปอย่างชื่นมื่น สองประเทศยังได้ลงนามข้อตกลงร่วมกัน 14 ฉบับ โดยเป็นข้อตกลงระหว่างรัฐ 9 ฉบับ
กองทัพไทยกับรัสเซียดูจะมีบทบาทสำคัญในแง่ความสัมพันธ์ พล.อ.สุรพงษ์ สุวรรณอัตถ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เคยบอกกับ พล.อ.ซาลยูคอฟ เมื่อครั้งมาไทยว่าความร่วมมือของกองทัพก็คือรากฐานของความสัมพันธ์ของสองประเทศ
การพบปะกันของผู้นำระดับสูงของสองประเทศดูจะเป็นการต่อยอดการแลกเปลี่ยนการเยือนแต่ละครั้ง โดยมีจุดเน้นย้ำเรื่องความร่วมมือด้านการลงทุน เศรษฐกิจ และการค้า ที่สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรระบุในข้อมูลที่เผยแพร่เมื่อปี 2015 ว่ารัสเซียนั้นเป็นประเทศคู่ค้าอันดับที่ 22 ของไทย แต่การเป็นคู่ค้ากันนี้ ไทยเป็นฝ่ายเสียเปรียบดุลการค้าให้รัสเซียมาตลอด โดยระหว่างปี 2555-2557 การค้ารวมระหว่างไทยกับรัสเซียมีมูลค่าเฉลี่ยปีละ 154,821 ล้านบาท เป็นมูลค่าการส่งออกเฉลี่ยปีละ 36,306 ล้านบาท และนำเข้าถึงปีละ 118,515 ล้านบาท
ในขณะที่ไทยพยายามเสนอให้ฝ่ายรัสเซียพิจารณาผ่อนคลายกฎระเบียบและขั้นตอนที่เกี่ยวข้องเพื่ออำนวยความสะดวกในการนำเข้าสินค้าเกษตร และพยายามขายผลิตภัณฑ์ยางให้รัสเซียซึ่งเพิ่งประสบความสำเร็จขายได้ 8 หมื่นตัน ฝ่ายรัสเซียก็ไม่หยุดแสวงหารายได้จากไทย สำนักข่าวรอยเตอร์เคยรายงานในช่วงที่นายเดนิส แมนทูรอฟ รัฐมนตรีการค้าและอุตสาหกรรมรัสเซียมาเยือนไทยเมื่อปี 2558 ว่า รัสเซียเห็นโอกาสที่ไทยจะหันไปซื้อยุทโธปกรณ์ทางการทหารจากรัสเซีย ในห้วงเวลาที่มิตรตะวันตกอื่น ๆ เมินไทย
สำนักข่าวทาสส์ของรัสเซียรายงานเมื่อเดือนมีนาคมปีนี้อ้างคำพูดผู้อำนวยการด้านความร่วมมือระหว่างประเทศของ Rostec ผู้ผลิตอุตสาหกรรมไฮเทคของรัสเซียว่าไทยนั้นสนใจยานยนต์หุ้มเกราะของรัสเซีย รวมทั้งระบบป้องกันทางอากาศอื่น ๆ อีกหลายรายการ รวมทั้งเฮลิคอปเตอร์ Mil Mi-17, เครื่องบินฝึก Yak-130, เครื่องบินขับไล่ Su-30 และเครื่องบินสะเทินน้ำสะเทินบกอเนกประสงค์ Be-200
มีรายงานว่า ในปี 2559 กองทัพบกไทยมีโครงการจัดซื้อเฮลิคอปเตอร์ Mi7VS จากรัสเซีย จำนวน 2 ลำ รวมมูลค่า 1,698 ล้านบาท กับมีโครงการจัดซื้อเฮลิคอปเตอร์ ไม่ระบุรุ่น อีก 4 ลำ รวมมูลค่า 3,385 ล้านบาท
ผู้นำไทยและรัสเซียเคยตกลงกันว่าจะขยายมูลค่าการค้าระหว่างกันให้ได้ 5 เท่าภายใน 5 ปี ข้างหน้า หรือให้ได้ 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2563 จึงน่าจับตาว่าภายใน 5 ปีนี้ ไทยจะยังคงขาดดุลการค้าให้กับรัสเซียโดยเฉพาะจากการซื้อยุทโธปกรณ์อีกกี่มากน้อย