สุเทพ: “สิ่งที่ดีที่สุดภายใต้ความเป็นไปได้คือ พล.อ.ประยุทธ์”
- Author, หทัยกาญจน์ ตรีสุวรรณ
- Role, ผู้สื่อข่าวบีบีซีไทย
ท่ามกลางเสียงเชียร์ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็น "นายกฯ คนนอก" เสียงที่มีน้ำหนักที่สุดหนีไม่พ้นเสียงของ "พันธมิตรใกล้ชิด" อย่างนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้นำมวลชนที่เคยสร้างชื่อจากการเป็น "ผู้จัดการรัฐบาลอภิสิทธิ์" วันนี้เขานั่งคำนวณสูตรการเมือง ก่อนประกาศตัวเป็น "ผู้สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์"
สถานะนักการเมืองอาชีพของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ จบลงในปีที่ 35 หลังทำหน้าที่ในสภามา 12 สมัย ในฐานะ ส.ส.สุราษฎร์ธานี-บัญชีรายชื่อ เป็นรัฐมนตรีมา 4 สมัย
เขาเลือกเกษียณการเมืองบนถนน ด้วยการเป็นผู้นำการชุมนุมของกลุ่มที่เรียกตัวเองว่าคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) นาน 204 วัน ก่อนได้สถานะใหม่ เป็น "ลุงกำนัน" และกลายเป็นจุดพลิกชีวิตของเขาไปตลอดกาล
ถึงวันนี้เขาเป็นหลายอย่าง ทั้งประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปแห่งประเทศไทย ผู้ก่อตั้งวิทยาลัยอาชีวศึกษาภาวนาโพธิคุณ อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี และยังเป็นจำเลยกว่า 2 พันคดี ส่วนใหญ่ได้จากการปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ปราบคนเสื้อแดงในปี 2553 และผู้นำมวลชนขับไล่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปี 2556-2557
แต่บทบาทสำคัญที่เขาเลือกจะเป็นในวันนี้-ในวัย 68 ปีเต็มคือ "ผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการ" ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
"สิ่งที่ดีที่สุดภายใต้ความเป็นไปได้คือ พล.อ.ประยุทธ์" คือคำพูดของนายสุเทพ ที่ถูกบอกเล่าผ่าน "คนร่วมบ้าน" อย่างนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ บุตรชายของนายพรเทพ เตชะไพบูลย์ กับนางศรีสกุล พร้อมพันธุ์ ภริยาคนปัจจุบันของนายสุเทพ ซึ่งอยู่ในสถานะบุตรบุญธรรม ที่เดินตามรอยเท้าของนายสุเทพเข้าสู่สนามการเมือง เป็นอดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ และอดีตโฆษก กปปส.
ประโยคที่อ้างถึงชื่อ พล.อ.ประยุทธ์เป็นข้อสรุปที่ได้จากการวิเคราะห์สถานการณ์การเมืองภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งเปลี่ยนระบบเลือกตั้งใหม่ โดยกำหนดให้บัตรเลือกตั้ง 1 ใบใช้ตัดสินทั้ง ส.ส.ระบบเขตและบัญชีรายชื่อ ซึ่งนายสุเทพเชื่อว่าไม่น่าจะมีพรรคไหนใหญ่พอจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ เมื่อบวกกับคำถามพ่วงที่ผ่านประชามติ ซึ่งให้สิทธิ ส.ว. ลงมติเลือกนายกฯ และเงื่อนไขรัฐธรรมนูญที่เปิดช่องให้มี "นายกฯ คนนอก" ได้
สูตรการเมืองหลังการเลือกตั้งจึงลงตัวในระดับหนึ่ง
"โอกาสที่พรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาธิปัตย์จะจับมือกันตั้งรัฐบาล เป็นไปได้ยาก เมื่อไม่มีขั้วไหนได้เสียงเกินครึ่ง ก็ต้องไปพึ่งเสียง ส.ว. 250 คน ซึ่งถือเป็นพรรคใหญ่สุดก็ว่าได้ เพราะมีเสียงมากที่สุด ที่สุดแล้วก็อาจจะต้องเป็นนายกฯ คนนอกที่มีความเด็ดขาด และคนนั้น ท่านก็คิดว่าเป็น พล.อ.ประยุทธ์" นายเอกนัฏกล่าวกับบีบีซีไทย
แม้หัวหน้า คสช. ยังออกอาการแบ่งรับแบ่งสู้ แต่ก็ไม่ปฏิเสธเต็มคำหลังถูกสื่อมวลชนถามว่ายืนยันได้หรือไม่ว่าจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวทางการเมืองอีก โดยตอบเพียงว่า "ผมไม่นั่งยัน ยืนยัน นอนยันอะไรทั้งนั้นแหล่ะ" (5 ก.ค. 2560)
และแม้ออกตัวอยู่บ่อย ๆ ว่า "ไม่ใช่นักการเมือง" กระทั่งนายเอกนัฏ อดีตเลขานุการรองนายกรัฐมนตรี (นายสุเทพ) ซึ่งเคยไปกิน-อยู่-หลับ-นอนใน ศอฉ. ร่วมกับ พล.อ.ประยุทธ์ (ขณะนั้นเป็นรอง ผบ.ทบ.) นานกว่า 70 วัน ยังบอกว่า "ไม่เห็นความเป็นนักการเมืองในตัว พล.อ.ประยุทธ์"
แต่แกนนำ กปปส. ก็สนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์ได้ "ไปต่อ" พร้อมชี้ว่าคะแนนนิยมในตัวผู้นำรายนี้เกิดจาก "ความต่าง" จากนักการเมืองคนอื่น
"สิ่งที่ทำให้ประชาชนชื่นชอบ พล.อ.ประยุทธ์เพราะคุณสมบัติที่ไม่เหมือนนักการเมืองคนอื่น ๆ ท่านมีความเป็นบ้าน ๆ จริงใจ เด็ดขาด พูดคำไหนคำนั้น และตรงไปตรงมา"
มิตรไมตรีที่แกนนำ กปปส.หยิบยื่นให้ผู้นำ คสช. ก็เกิดจากความรู้สึกไม่ต่างจากแฟนคลับ พล.อ.ประยุทธ์รายอื่น ๆ
"ไม่ใช่ไปเอาใจนะ เดี๋ยวคนจะไปด่าว่าเป็น 'ขี้ข้า' แต่ลุง (นายสุเทพ) ชื่นชอบ พล.อ.ประยุทธ์จริง ๆ เพราะถ้ารู้เงื่อนไข รู้ข้อจำกัดที่พล.อ.ประยุทธ์ต้องเข้ามา รู้ความพยายามของประยุทธ์ ก็จะรู้สึกเหมือนกัน" บุตรชายบุญธรรมของนายสุเทพกล่าว
ปฏิเสธไม่ได้ว่าการชุมนุมบนถนน คือสารตั้งต้นของรัฐประหาร 22 พ.ค. 2557 นั่นอาจทำให้ "มวลชนนกหวีด" บางส่วนรู้สึกเป็น "เจ้าของอำนาจ" ร่วมกับรัฏฐาธิปัตย์ จึงคอยประคับประคอง-โอบอุ้ม-ค้ำยันสถานภาพทางการเมืองให้รัฐบาลชุดปัจจุบัน
นี่จึงไม่ใช่ครั้งแรกที่นายสุเทพประกาศตัวสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เพราะถ้าย้อนดูบทบาทในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา จะพบว่าเขาคอยเป็น "ผู้ช่วย คสช." ทั้งทางหน้าฉาก-หลังฉาก
ผลงานชิ้นสำคัญ หนีไม่พ้น การสวมบท "โฆษกรัฐธรรมนูญ" ออกเฟซบุ๊กไลฟ์วันละ 5 นาทีในช่วงนับถอยหลังประชามติ 7 ส.ค. 2559 เพื่อประชาสัมพันธ์-โน้มน้าวให้ประชาชนไปโหวตรับร่างรัฐธรรมนูญ แบบสวนกระแส-สวนทางพรรคต้นสังกัดเก่า
ขณะเดียวกัน ยังเชิญทูตมาเคลียร์ใจ-เคลียร์วาทกรรมของฝ่ายประกาศคว่ำร่างรัฐธรรมนูญ บทบาทที่สังคมอาจไม่เคยรู้มาก่อน
"หลายคนติดคำที่ว่า 'ต้นไม้พิษย่อมให้ลูกที่เป็นผลไม้พิษ' เราก็ต้องย้ำไปว่าแม้ไม่ถูกใจ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็มีเรื่องปราบโกง เรื่องปฏิรูป ขณะที่ทหารถูกมองว่าเป็น 'ต้นไม้พิษ' ย่อมไม่สามารถเคลียร์ตัวเองได้ ก็ต้องให้คนที่อยู่นอกวงช่วยพูด" นายเอกนัฏระบุ
ที่มา: บีบีซีไทยรวบรวม
การแสดงจุดยืนสนับสนุน "นายกฯ คนนอก" ถูกตีความว่าเป็นการลดทอนคุณค่าของการเลือกตั้งให้เป็นเพียง "พิธีกรรม" เท่านั้น ซึ่งอาจไม่ใช่เรื่องแปลกหากนายสุเทพไม่ส่ง "คนร่วมบ้าน" อย่างนายเอกนัฏกลับพรรคประชาธิปัตย์เพื่อลงสนามเลือกตั้ง
นายเอกนัฏแย้งว่า "คนชอบมองว่าการแสดงความคิดเห็นของประชาชนอยู่นอกกรอบนอกระบบ เพราะคิดแต่บริบทเดิมว่าประชาธิปไตยต้องมาจากการเลือกตั้งอย่างเดียว อย่าลืมว่าการเลือกตั้งเป็นแค่พิธีกรรมหนึ่ง ไม่ใช่ทั้งหมดของประชาธิปไตย หลายครั้งคนที่มาจากการเลือกตั้งก็ฉ้อฉล ละเมิดประชาธิปไตย แต่สิ่งที่กอบกู้ให้ประเทศกลับเข้าลู่ประชาธิปไตยก็คือการแสดงออกของประชาชน"
"ไม่มีใครบอกว่า พล.อ.ประยุทธ์จะเข้ามาโดยไม่มีเลือกตั้ง สิ่งที่ลุง (นายสุเทพ) แสดงออก คือการประเมินภายใต้รัฐธรรมนูญที่ผ่านมาลงประชามติของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ และตัวรัฐธรรมนูญ ก็ไม่ได้เตะพรรคออกจากการเป็นผู้เล่น พรรคก็เป็นผู้เล่นหนึ่ง ประชาชนเป็นอีกผู้เล่นหนึ่ง"
แล้วผู้เล่นที่เป็นอดีตแกนนำ กปปส. 8 คนที่หวนคืนพรรคประชาธิปัตย์ จะให้น้ำหนักกับเสียงไหนมากกว่ากันระหว่าง "เสียงของผู้นำ กปปส." กับ "เสียงของผู้นำพรรคประชาธิปัตย์"?
คำตอบของเขาคือ หน้าที่ของคนที่กลับเข้าไปคือสู้ในสนามเลือกตั้งให้ได้ ส.ส.มากที่สุด "เราไม่มีปัญหาอะไรกับการสนับสนุนหัวหน้าพรรคเป็นนายกฯ แต่.. ก็ต้องยอมรับว่าภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ในกรณีไม่สำเร็จก็มีช่องทางอื่นไปได้"
ลูกพรรคประชาธิปัตย์รายนี้เชื่อว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค "แมนพอ" ที่จะเข้าใจการประเมินสถานการณ์แบบนี้
ในวันวาน นายสุเทพเคยเล่นบท "ผู้จัดการรัฐบาล" เดินเกมพลิกขั้วการเมือง-ส่งนายอภิสิทธ์ถึงฝั่งฝันบนเก้าอี้นายกฯ คนที่ 27 แต่ในวันนี้ แกนนำ กปปส. อาจมีความใฝ่ฝันใหม่แล้ว
ท้ายที่สุดคนที่ "เป็น" อะไรมาหลายอย่างตลอดเวลา 68 ปี กลับชอบช่วงที่ "ไม่เป็นอะไรเลย" เมื่อได้หยุดพัก-ได้อยู่ใต้ร่มกาสาวพัสตร์นาน 378 วัน
"ตอนท่านบวชเป็นพระ คงมีความสุขดี" นายเอกนัฏพูดพลางหัวเราะเล็ก ๆ เมื่อถูกถามถึงบทบาทที่นายสุเทพชอบมากที่สุด
"ความที่ลุง (นายสุเทพ) คิดว่าเป็นประชาชนเสียงดัง ก็คิดว่าตัวเองมีภาระรับผิดชอบมากตามความดังของเสียงที่แกมี นี่คล้ายเป็นเวรกรรมของคนที่เกิดมาแล้วชอบการเมือง ที่ออกจากวงจรนี้ไม่ได้ แม้ลึก ๆ ในใจจะอยากพักบ้าง เหนื่อยแล้ว หลังชุมนุมไม่ได้อะไรเลยนะ มีแต่ภาระ เสียค่าใช้จ่ายจ้างทนาย ตั้งมูลนิธิก็ต้องควักเนื้อ เป็นหนี้เป็นสิน จึงต้องไปบวชเพื่อชำระล้างจิตใจ แต่ที่สุดแล้วบ้านเมืองจะไปได้ ต้องเกิดจากความเสียสละของตัวบุคคล"
บุตรชายต่างสายเลือดยอมรับ ยังมองไม่ออกว่านายสุเทพจะนอนพักอยู่บ้านได้อย่างไร
"ท่านรักษาคำพูด คือไม่ลงเลือกตั้งแล้ว แต่สิ่งที่จะเกิดคืออยู่ในฐานะประชาชนที่พร้อมแสดงออก" นายเอกนัฏบอก
นั่นคือสัญญาณว่าบทบาท "ผู้พิทักษ์ประยุทธ์" เพิ่งเริ่มต้น เมื่อฝ่ายต่อต้าน "นายกฯ คนนอก" มา เสียงนกหวีดอาจดังขึ้น!!!