10 ปี วิกฤตการเงินโลก : ถอดบทเรียนจากสิ่งที่เกิดขึ้นกับ 4 ประเทศ และ 1 ภูมิภาค
- Author, โดยพาโบล อูเชา
- Role, บีบีซี เวิลด์เซอร์วิส
การล่มสลายของสถาบันการเงินชั้นนำอย่าง เลห์แมน บราเธอร์ส เมื่อสิบปีก่อน เป็นความเสียหายที่เกิดจากวิกฤติการเงินที่เรียก ความสนใจที่สุดกรณีหนึ่ง และเป็นคลื่นกระแทกที่ส่งผลสะเทือนต่อเศรษฐกิจทั่วโลก
กรณีการล้มละลายครั้งใหญ่ของภาคการเงินอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในสหรัฐฯ นี้ เปิดโปงให้เห็นความจริงที่ว่าความเฟื่องฟูของตลาดการเงินสหรัฐฯ ในยุคนั้น ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการพึ่งพิงสินเชื่อเคหะด้อยคุณภาพ หรือที่รู้จักกันในนามซับไพร์ม มอร์เกจ และตราสารอนุพันธ์ มากน้อยเพียงใด
สำหรับโลกแล้ว เหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นมนต์คาถาที่ร่ายออกมาเพื่อหยุดยั้งการขยายตัวของเศรษฐกิจ องค์กรการเงินระหว่างประเทศหรือไอเอ็มเอฟ ระบุว่าเศรษฐกิจของตลาดเกิดใหม่ประสบภาวะชะลอตัวในปี 2009 โดยเติบโตราว 2.8% ต่อปี หลังขยายตัวอย่างแข็งแกร่งมานานถึง 6 ปี ส่วนบรรดา ชาติอุตสาหกรรมต้องเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอยในอัตราสูงถึง -3.4%
รัฐบาลในยุโรปและสหรัฐฯ ต่างเร่งหาวิธีช่วยดึงสถาบันการเงินให้พ้นจากสภาพร่อแร่ แน่นอนว่าผู้ได้รับผลสะเทือนคือประชาชนผู้เสียภาษี ขณะที่ที่ประชุมกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำและประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ 20 ประเทศ หรือจี 20 ในขณะนั้น กำหนดนโยบายร่วมกัน ในการกระตุ้นเศรษฐกิจโลกให้ฟื้นคืนมาอีกครั้ง
นับจากนั้นจนถึงขณะนี้เป็นเวลา 10 ปีมาแล้ว ผลที่ได้เป็นอย่างไร ? บีบีซีพาไปดูกรณีศึกษาของ 5 ประเทศ และภูมิภาคสำคัญ
สหรัฐอเมริกา
"สภาพเศรษฐกิจของเราขณะนี้ต้องการการแก้ไขอย่างกล้าหาญและฉับไว" นายบารัค โอบามา กล่าวในวันสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2009
เลห์แมน บราเธอร์ส ไม่ใช่สถาบันการเงินแห่งเดียวที่ประสบภาวะยากลำบากในขณะนั้น เพราะ ความกังวลเรื่องหนี้เสียของสถาบันการเงินหลายแห่ง ในสหรัฐฯทำให้มูลค่าของบริษัทลดลงไปอย่างมาก
รัฐบาลสหรัฐฯ ตัดสินใจเข้าครอบครองกิจการของแฟนนี เม และเฟรดดี แมก สองสถาบันแปลงสินเชื่อที่อยู่อาศัยให้เป็นหลักทรัพย์ กับเข้าอุ้มกิจการ เอไอจี (AIG) บริษัทประกันภัยที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยใช้เงินสูงถึง 1.82 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนสภาคองเกรสจัดสรรงบประมาณ 7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อช่วยธนาคารที่ประสบปัญหา นายเฮนรี่ พอลสัน รัฐมนตรีคลังในขณะนั้น ถึงขั้นมีชื่อเรียกเล่น ๆ ว่า 'Mr Bailout' หรือ 'คุณอุ้ม'
ด้านธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟดก็เริ่มเข้าซื้อตราสารเพื่ออัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ รวมเป็นเงินถึง 4.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในเวลาหกปี
ภายในเวลาไม่กี่วันหลังเข้ารับตำแหน่ง ประธานาธิบดีโอบามา ลงนามบังคับใช้กฎหมายฟื้นฟูเศรษฐกิจฉบับใหม่ ซึ่งกำหนดวงเงินกองทุนฟื้นฟูเศรษฐกิจ และการลงทุนในภาคสาธารณูปโภค การศึกษา สุขภาพ และพลังงานหมุนเวียน มูลค่า 8 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
เขายอมรับว่าการเข้าอุ้มบรรดาธนาคารทั้งหลายอาจทำให้คนส่วนใหญ่ไม่พอใจ แต่นายโอบามาบอกในขณะนั้นว่า "เขาตั้งใจจะให้ธนาคารต้องรับผิดชอบ กับเงินช่วยเหลือที่ได้รับ และคราวนี้บรรดาซีอีโอทั้งหลายจะไม่สามารถเอาเงินภาษีของประชาชนไปจ่ายเงินเดือนตัวเอง ซื้อม่านประดับสวยหรู หรือล่องหนไปกับเครื่องบินเจ็ตได้อีกต่อไป เพราะคืนวันเหล่านั้นมันผ่านพ้นไปแล้ว"
ข้อมูลที่บริษัท Corelogic บริษัทติดตามข้อมูลรวบรวมไว้ พบว่าในช่วงเวลาสิบปี นับจนถึงปี 2017 บ้านพักอาศัยเกือบ 7.8 ล้านหลังถูกยึด ตำแหน่งงานหายไปกว่า 7.3 ล้านตำแหน่งในช่วงเดือนมกราคม 2008-กุมภาพันธ์ 2010 ขณะที่อัตราว่างงานพุ่งขึ้นไปอยู่ที่เกือบ 10%
ข้อมูลจากไอเอ็มเอฟชี้ว่า นโยบายการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจทำให้การจัดทำงบประมาณในปี 2009 เป็นงบประมาณขาดดุลที่คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 12% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือจีดีพี อย่างไรก็ดี ตัวเลขนี้ปรับลดลงเหลือ 2.5% ในปี 2015 ขณะที่อัตราว่างงานลดไปอยู่ในระดับเดียวกับ ช่วงก่อนเกิดวิกฤต
ในปี 2012 นายโอบามา กล่าวว่ารัฐบาลสามารถเรียก "ทุกบาททุกสตางค์" ที่นำไปใช้ช่วยเหลือธนาคารต่าง ๆ คืนมาได้ทั้งหมด
ด้านสำนักงานบังคับใช้กฎหมายพิเศษซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อดำเนินการกับบรรดาสถาบันการเงินทั้งหลาย เปิดเผยว่า มีผู้ถูกลงโทษจำคุก 251 คน จนถึงวันนี้ รวมถึงนายธนาคาร 59 คนด้วย แต่ไม่มีซีอีโอคนใดของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นวอลล์สตรีทถูกลงโทษเลย
สหภาพยุโรป
ไม่ต่างจากสหรัฐฯ ทางการของหลายประเทศในยุโรปพากันประกาศมาตรการฟื้นฟูในเดือนตุลาคม 2008 เฉพาะอังกฤษคิดเป็นมูลค่าเกือบ 7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และในประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโร เป็นมูลค่ากว่า 2.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ในช่วงปลายปีนั้น สหภาพยุโรป หรืออียู ประกาศแผนฟื้นฟูพร้อมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่คิดเป็นมูลค่ามากกว่า 1.5% ของจีดีพีของทั้งอียู
ด้วยภาวะเศรษฐกิจขาลง ประกอบกับมาตรการกู้ชีพที่ต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล ทำให้สถานภาพเศรษฐกิจของชาติที่ใช้เงินสกุลยูโรหลายประเทศ อาทิ กรีซ ไอร์แลนด์ โปรตุเกส อิตาลี สเปน และไซปรัส ซึ่งง่อนแง่นจากสภาพหนี้ที่มีอยู่แล้ว ยิ่งย่ำแย่หนักขึ้น
และเพื่อแลกกับวงเงินช่วยเหลือ รัฐบาลของประเทศเหล่านั้น (ยกเว้นอิตาลี) จำเป็นต้องยอมรับดำเนินมาตรการรัดเข็มขัดกันอย่างถ้วนทั่ว ซึ่งก่อให้เกิด ความตึงเครียดภายในประเทศอย่างหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่กรีซ ซึ่งเกิดเหตุรุนแรงจากการประท้วง ท่ามกลางตัวเลขคนว่างงานในวัยหนุ่มสาวที่สูงถึง 60%
แม้จะเกือบหลุดพ้นจากสมาชิกภาพของอียู แต่กรีซก็ยังรักษาสภาพความมั่นคงทางการเมืองไว้ได้ และเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา กรีซเป็นประเทศสุดท้ายในกลุ่มประเทศที่ใช้เงินยูโรที่ยุติโครงการเงินกู้ช่วยเหลือฉุกเฉิน
อย่างไรก็ดี ไอเอ็มเอฟเตือนว่าภาคการธนาคารของยูโรโซนยังคงอ่อนแอ และคาดว่าเศรษฐกิจจะค่อย ๆ โตอย่างเชื่องช้าในช่วงไม่กี่ปีข้างหน้า
จีน
สำหรับเศรษฐกิจของจีนซึ่งพึ่งพารายได้จากการส่งออกเป็นหลัก อุปสงค์ที่ลดลงทั่วโลกหมายถึงความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจีนอาจเกิดการชะลอตัว
ดังนั้นรัฐบาลจีนจึงประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 5.85 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเทียบเท่า 12% ของจีดีพีในปี 2008 เพื่อช่วยเหลือโครงการที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐาน และการขยายตัวทางการเงิน เพื่อสนับสนุนการบริโภคในภาคเอกชน
ระหว่างปี 2007 ถึง 2014 อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจต่อปีของจีนลดลงจาก 14% เหลือเพียงราว 7% แต่จีนก็สามารถผ่านพ้นช่วงเปลี่ยนผ่าน ที่ยากลำบากมาได้
อย่างไรก็ตาม ด้วยปริมาณหนี้สินที่พุ่งสูงถึง 250% ของจีดีพี นักวิเคราะห์หลายคนและองค์การทางเศรษฐกิจหลายแห่งเตือนว่า สถานการณ์ปัจจุบันถือเป็นความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลก
ตามฐานข้อมูลของนิตยสารเดอะแบงก์เกอร์ ชี้ว่าปัจจุบันธนาคารจีนหลายแห่งมีขนาดใหญ่และมีกำไรมากกว่าคู่แข่งในชาติตะวันตก โดยเมื่อปี 2008 มีธนาคารจากจีนเพียงสองแห่งเท่านั้น ที่ติด 10 อันดับธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในโลก ขณะที่ในปี 2018 ธนาคารจีนครองอันดับ 1-4 ไว้ได้ทั้งหมด
ไบรอัน แคปเลน บรรณาธิการของเดอะแบงก์เกอร์ กล่าวว่า ธนาคารในสหรัฐฯ และยุโรป มีบทบาทลดลงในโลกการเงิน หลังจากรัฐบาลของแต่ละประเทศ ออกมาตรการควบคุมที่เข้มงวดขึ้น ธนาคารที่รอดพ้นจากวิกฤตด้วยเงินอุดหนุนจากภาษีของประชาชนได้ถูกร้องขอให้ขายกิจการ ในต่างประเทศเพื่อชำระคืนหนี้สิน
บราซิล
ลูอิส อิกนาชิโอ ลูลา ดา ซิลวา ประธานาธิบดีบราซิลในขณะนั้น ให้คำมั่นกับประชาชนของเขาเมื่อเดือน ต.ค. 2008 ว่าบราซิลจะไม่ได้รับผลกระทบ จากวิกฤตเศรษฐกิจครั้งนั้น เขาเชื่อว่า 'คลื่นสึนามิ' ที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ จะส่งผลต่อบราซิลเพียงเล็กน้อย ไม่มากไปกว่าแค่ 'คลื่นลูกเล็ก ๆ'
ด้วยวัฒนธรรมหลีกเลี่ยงความเสี่ยงของสถาบันการเงินในบราซิล ทำให้สามารถหลบเลี่ยงผลกระทบจากวิกฤตเคหะสินเชื่อด้อยคุณภาพในสหรัฐฯ ได้ เมื่อผนวกกับมาตรการลดหย่อนภาษีและนโยบายผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มเติม ทำให้ในปี 2010 เศรษฐกิจบราซิลเติบโตสูงถึง 7.5% ซึ่งถือว่าโตอย่างรวดเร็วที่สุดในรอบ 24 ปี
นายดา ซิลวา ยังแสดงโวหารสะท้อนความคิดของเขาในเวทีประชุม จี 20 ที่กรุงลอนดอนเมื่อเดือน มี.ค. 2009 โดยกล่าวโทษบรรดา "นายธนาคารผิวขาวตาสีฟ้า" ว่าเป็นต้นเหตุของวิกฤตครั้งนั้น
แต่ในเวลาต่อมา ผลกระทบจากวิกฤตครั้งนั้นส่งผลต่อบราซิลมากกว่าแค่ "คลื่นลูกเล็ก ๆ" เมื่ออุตสาหกรรมในประเทศเผชิญความยากลำบากในการ แข่งขัน อันเป็นผลมาจากระบบภาษีที่ซับซ้อน ปัญหาทางโครงสร้างพื้นฐาน และค่าเงินที่แข็งขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ที่อ่อนตัวลง
ในปี 2015 เศรษฐกิจบราซิลตกต่ำแตะระดับ -3.5% และรัฐบาลขาดดุลงบประมาณเป็นสัดส่วนถึง 10% ของจีดีพี
ขณะเดียวกัน ประชาชนจำนวนมากรู้สึกไม่พอใจที่รัฐบาลใช้เงินจำนวนมากไปกับการจัดมหกรรมกีฬาฟุตบอลโลก 2014 และโอลิมปิก 2016
สถานการณ์ย่ำแย่ถึงขีดสุดในช่วงต้นปี 2016 เมื่อประธานาธิบดีดิลมา รุสเซฟฟ์ ถูกถอดถอนจากตำแหน่งฐานกระทำการละเมิดกฎหมายงบประมาณท่ามกลางเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับการทุจริตครั้งใหญ่ในบราซิล
รัสเซีย
ประเทศที่อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติอย่างรัสเซีย ได้รับผลกระทบอย่างชัดเจนเมื่อ ราคาน้ำมันลดฮวบจาก 100 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล เหลือเพียง 30 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงปลายปี 2008 จากความกังวลในเรื่องความต้องการใช้น้ำมันที่ลดลงทั่วโลก
เศรษฐกิจของรัสเซียหดตัวลง ติดลบ 7.9% ในปี 2009 แต่สามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วเมื่อราคาน้ำมันกลับมาเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้ง
น้ำมันและแก๊สธรรมชาติ เป็นสินค้าส่งออกหลักของรัสเซีย ซึ่งทำรายได้สูงถึงราว 40% ของรายได้ทั้งหมดของรัฐบาลกลาง ในช่วงปี 2011-2012 รัฐบาลรัสเซียใช้เงินเหล่านั้นไปเพื่อแก้ไขงบประมาณที่ขาดดุล รวมทั้งจ่ายเงินเดือนเจ้าหน้าที่รัฐ ตลอดจนเงินบำนาญ
ต่อมาในปี 2015 เศรษฐกิจของรัสเซียหดตัวลง 2.5% จากมาตรการคว่ำบาตรของนานาชาติ หลังรัสเซียผนวกดินแดนไครเมียมาเป็นของตนในปี 2014 ทำให้รายได้สุทธิของประชาชนลดลงอย่างต่อเนื่องตลอด 4 ปีให้หลัง
ถึงแม้จะได้รับผลกระทบจากทั้งราคาน้ำมันที่ลดลงและมาตรการลงโทษจากนานาชาติ เศรษฐกิจของรัสเซียกลับมีเสถียรภาพมากขึ้นในปี 2016 จากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่พุ่งสูงขึ้น ซึ่งผู้เชี่ยวชาญของไอเอ็มเอฟระบุว่า "รัสเซียสามารถฟื้นคืนสภาพได้ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้"
อย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีเศรษฐกิจของรัสเซีย ได้ปรับลดประมาณการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจลง เนื่องจากรัสเซียมีแผนที่จะเพิ่มอัตราจัดเก็บ ภาษีมูลค่าเพิ่ม และนโยบายการเงินที่เข้มงวดของธนาคารกลาง นอกจากนี้ยังมีความกังวลเกี่ยวกับอายุเฉลี่ยของประชากรที่สูงขึ้น และความยั่งยืนของระบบกองทุนเลี้ยงชีพ
ตามแนวโน้มในปัจจุบัน องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) คาดการณ์ว่าภายในปี 2050 ประชากรกว่า 20% ของรัสเซีย จะมีอายุเกิน 65 ปี