อียู ยืนยันไม่ได้ปรับท่าทีอ่อนลงต่อไทย กรณีประยุทธ์ "เยือนสหภาพยุโรป"
สหภาพยุโรป (อียู) ยืนยันไม่ได้ปรับ "ท่าทีอ่อนลง" ต่อรัฐบาลทหารของไทย ยังคงเรียกร้องให้ไทยจัดการเลือกตั้ง และปรับปรุงด้านสิทธิมนุษยชน ก่อนที่จะเปิดการเจรจาด้านต่าง ๆ กับไทยอย่างเป็นทางการ และจนบัดนี้ก็ยังไม่ได้ตกลงวันที่แน่นอนสำหรับการเยือนสหภาพยุโรปของนายกรัฐมนตรีไทย
นายเปียร์ก้า ตาปิโอลา เอกอัครราชทูตและหัวหน้าสำนักงานคณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย กล่าวในระหว่างการพูดคุยที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทยค่ำวันนี้ (30 พ.ค.) ว่า ไม่อยากให้ใช้คำว่าอียู 'เปลี่ยนท่าทีให้อ่อนลง' ต่อปัญหาประชาธิปไตยและการละเมิดสิทธิมนุษยชนของรัฐบาลภายใต้การนำของพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในกรณีที่หลายฝ่ายออกมาวิจารณ์ว่า การเยือนสหภาพยุโรปเดือนหน้าของพล.อ. ประยุทธ์ อาจสะท้อนถึงการที่อียูสนใจประเด็นสำคัญดังกล่าวน้อยลง และหันไปให้ความสำคัญด้านเศรษฐกิจแทน
เขากล่าวว่า เพราะอียูจะยังไม่เจรจาเรื่องใด ๆ เช่น สนธิสัญญาการค้าเสรี ฯ อย่างเป็นทางการกับรัฐบาลไทย "เราจะเจรจาเรื่องต่าง ๆ เมื่อไทยมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งแล้วเท่านั้น" นอกจากนี้ นายตาปิโอลายังระบุด้วยว่า การเยือนอียูครั้งใหม่ของผู้นำไทย ซึ่งทางไทยเป็นฝ่ายขอเลื่อนไปเป็นเดือนมิถุนายน ก็ยังไม่ได้กำหนดวันที่ชัดเจน เนื่องจากกำลังอยู่ในระหว่างหารือกันอีกครั้งหนึ่ง
ทางด้าน นางสาวบุษฎี สันติพิทักษ์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เองก็กล่าวกับบีบีซีไทยเช่นกันว่า คณะทำงานของพล.อ. ประยุทธ์ "อยู่ระหว่างการหารือ" ว่า การเยือนจะเป็นช่วงใดในเดือนมิถุนายน
แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาลเปิดเผยกับบีบีซีไทยว่า เดิม พล.อ. ประยุทธ์ มีกำหนดการเยือนกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม ระหว่างวันที่ 22-25 พฤษภาคม โดยนายกรัฐมนตรีมีกำหนดการเข้าพบนายฌอง-โคลด ยุงเกอร์ ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป, นายโดนัลด์ ทัสค์ ประธานสภายุโรป และ นายชาร์ลส์ มิเชล นายกรัฐมนตรีของเบลเยียม แต่เนื่องจากช่วงเวลาดังกล่าว นายกรัฐมนตรีของเบลเยียมไม่อยู่ในประเทศ และอยู่ในช่วงใกล้กับวาระครบรอบ 4 ปีของการยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือน
"การเยือนของนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ เป็นการเยือนครั้งแรกของผู้นำไทย หลังการฟื้นฟูความสัมพันธ์เมื่อ 11 ธันวาคม ปีที่แล้ว เหตุที่เลื่อนเนื่องจากตารางงานที่แน่นของท่านนายกฯ ในช่วงนี้ และใกล้กับวาระครบรอบ 4 ปีของ คสช. ด้วย" แหล่งข่าวกล่าว
เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีต่างประเทศของไทย พบหารือกับ นางเฟเดอริกา โมเกรินี หัวหน้าด้านการต่างประเทศและนโยบายความมั่นคงของอียู และรองประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ในกรุงบรัสเซลส์ เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหภาพยุโรป ภายหลังการออกข้อมติฟื้นฟูความสัมพันธ์กับไทย รวมทั้ง ติดตามประเด็นความร่วมมือในด้านการพัฒนาและด้านการประมง รวมทั้งเพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ในภูมิภาคร่วมกัน
รื้อฟื้นความสัมพันธ์
เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม ปีที่แล้ว คณะรัฐมนตรีต่างประเทศ อียู มีมติร่วมกันให้รื้อฟื้นความสัมพันธ์ทางการเมืองกับรัฐบาลทหารของไทย หลังจากที่ พล.อ. ประยุทธ์ ออกมาให้คำมั่นว่าจะจัดการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายน 2561
แถลงการณ์ของอียู กล่าวว่า ไทยมีความคืบหน้าทางด้านการเมืองมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพล.อ. ประยุทธ์ ซึ่งดำรงตำแหน่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ให้คำมั่นเมื่อ 10 ตุลาคม 2560 ว่า จะจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปภายในเดือนพฤศจิกายน 2561 ทำให้เป็นสิ่งที่เหมาะสมที่อียูจะกลับมารื้อฟื้นความสัมพันธ์ทางการเมืองในทุกระดับกับรัฐบาลไทยอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อช่วยปูทางไปสู่การเจรจาที่สำคัญเรื่องผลประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย รวมทั้งเรื่องสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐาน ตลอดจนหนทางสู่ความเป็นประชาธิปไตย
อย่างไรก็ดี อียู ยังคงมีเงื่อนไขว่า ไทยต้องจัดการเลือกตั้ง รวมทั้งเรียกร้องให้เคารพสิทธิมนุษยชน เสรีภาพขั้นพื้นฐาน เสรีภาพในการแสดงออกและการรวมตัวกัน เพราะนับตั้งแต่เกิดรัฐประหารเมื่อปี 2557 สิทธิเหล่านี้ก็ถูกจำกัด และมีการลงโทษอย่างรุนแรงต่อผู้ที่ละเมิด
นักสิทธิมนุษยชนนานาชาติ: "สถานการณ์ยังไม่ดีขึ้น"
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล แถลงรายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนโลกประจำปี 2560/2561 เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ว่า รัฐบาลไทย และกัมพูชาต่างปราบปราม ผู้เห็นต่าง และเสนอให้ยกเลิกคำสั่ง คสช.-เปิดทางชุมนุมอย่างสงบ-แก้ ม. 112
รายงานด้านสิทธิมนุษยชนทั่วโลก ประจำปี พ.ศ. 2560 ของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ออกมาเดือนเมษายนชี้ว่า ประชาชนไทยยังถูกละเมิดสิทธิอย่างกว้างขวาง ในยุครัฐบาลทหาร ตั้งแต่การใช้กำลังเกินกว่าเหตุของเจ้าหน้าที่รัฐ ไปจนถึงการคุกคามผู้ต้องหาคดีอาญา และการจับกุมผู้ต้องสงสัยโดยปราศจากข้อหา รวมทั้งเสรีภาพของสื่อมวลชนที่ถูกจำกัด ด้านโฆษกรัฐบาลไทยยืนยันไม่ได้ละเมิดสิทธิ เพียงปฏิบัติตามกฎหมายเท่านั้น
นายสุณัย ผาสุข นักวิจัยอาวุโสของฮิวแมนไรท์วอทช์ ตั้งคำถามถึงเจตนาของอียูในการต้อนรับพล.อ. ประยุทธ์ไปเยือนกรุงบรัสเซลส์ ทั้งที่เคยประกาศหลายครั้งว่า เงื่อนไขในการฟื้นความสัมพันธ์กับไทยคือ การกลับสู่ความเป็นประชาธิปไตยผ่านการเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรม
"อียูควรต้องยืนยันว่า ประยุทธ์จะไม่ได้ 'เช็คเปล่า' ในการเยือนบรัสเซลส์ นี่เป็นบทพิสูจน์สำคัญต่อความจริงใจของอียูที่เคยประกาศว่า การฟื้นความสัมพันธ์กับไทยสู่ภาวะปกตินั้นจะขึ้นอยู่กับการที่ไทยกลับสู่ความเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงผ่านการเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรม" นายสุณัย กล่าวกับบีบีซีไทย
"อียูควรต้องพูดกับประยุทธ์อย่างชัดเจนตรงไปตรงมาให้ยกเลิกมาตรการที่ลิดรอนปิดกั้นสิทธิเสรีภาพในทันที รวมถึงยุติการดำเนินคดีกับคนที่เห็นต่างวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลและ คสช. รวมทั้งยังควรจะต้องแสดงท่าทีเหล่านี้ในแถลงการณ์ต่อสาธารณะด้วย"
เตรียมการเอฟทีเอ ไทย-อียู
กรุงเทพธุรกิจ รายงานเมื่อเดือนมีนาคม โดยอ้างคำแถลงของนางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ว่า กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศเตรียมความพร้อมรับมือรื้อฟื้นการเจรจาความตกลงการค้าเสรีไทย-สหภาพยุโรป หรือเอฟทีเอ ไทย-อียู โดยจะเริ่มจากการประชุมคณะทำงานด้านการค้าและการลงทุนระหว่างไทย-อียู ช่วงกลางปี 2561 ในไทย
นางอรมน กล่าวเสริมว่า หลังการเจรจาเอฟทีเอไทย-อียู หยุดชะงักลงในปี 2557 มูลค่าการค้าระหว่างไทยและอียูลดลง แต่ในปี 2560 มูลค่าการค้าระหว่างสองฝ่ายกลับมาเพิ่มขึ้น โดยในปี 2560 มูลค่าการค้าไทย-อียู อยู่ที่ 44,302.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 1.42 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้น 0.4% โดยไทยส่งออกไปอียู คิดเป็นมูลค่า 23,700.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 7.6 แสนล้านบาท) เพิ่มขึ้น 7.5% และนำเข้าจากอียู 20,602 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 6.6 แสนล้านบาท) เพิ่มขึ้น 3.9% โดยไทยส่งออกสินค้าสำคัญ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ, รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ, อัญมณีและเครื่องประดับ, แผงวงจรไฟฟ้า, ผลิตภัณฑ์ยาง, เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ, ไก่แปรรูป และมีสินค้านำเข้าสำคัญ เช่น เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ, เครื่องบิน, เครื่องร่อน, อุปกรณ์การบินและส่วนประกอบ, เคมีภัณฑ์, ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม, เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ, ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ จึงคาดว่า การเจรจาเอฟทีเอน่าจะช่วยส่งผลทำให้การค้ารวม และการส่งออกของไทยไปอียูเติบโตเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ประเมินว่า การส่งออกจากไทยไปอียูน่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้น 5% ในปี 2561 ซึ่งในการประเมินดังกล่าว ได้คำนึงถึงปัจจัยสำคัญ เช่น การรื้อฟื้นความสัมพันธ์ไทย-อียู และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอียูและการออกจากอียูของสหราชอาณาจักร หรือ เบร็กซิท เป็นต้น
ทั้งนี้ ประเทศสมาชิกอียูที่มีสัดส่วนมูลค่าการค้ากับไทยสูงที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ เยอรมนี, อังกฤษ, เนเธอร์แลนด์, ฝรั่งเศส และอิตาลี ในส่วนการลงทุน ในปี 2559 อียูมีการลงทุนในไทย 6,731 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 2.16 แสนล้านบาท) และในปี 2560 ณ เดือนกันยายน ประเทศสมาชิกอียูที่ขอยื่นโครงการเพื่อขอรับการส่งเสริมการลงทุนในไทยสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ เยอรมนี, เนเธอร์แลนด์, อังกฤษ, ออสเตรีย และสวีเดน