Exclusive: อภิสิทธิ์ “ประชาธิปัตย์ไม่จำเป็นต้องเป็นกองหนุนกองเชียร์ของใคร”
- Author, หทัยกาญจน์ ตรีสุวรรณ & วิดีโอโดย วสวัตติ์ ลุขะรัง
- Role, ผู้สื่อข่าวบีบีซีไทย
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ชิง "คืนอำนาจให้สมาชิกพรรค" ก่อนคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) "คืนอำนาจให้ประชาชน"
แม้ คสช. สั่งล้มการเลือกตั้งขั้นต้น (ไพรมารี) ในสนามเลือกตั้งปี 2562 ไปแล้ว แต่กระบวนการไพรมารีเลือกหัวหน้าพรรคการเมืองที่มีอายุกว่า 7 ทศวรรษยังเดินหน้า หวังเป็นต้นแบบ "ปฏิรูปจากภายใน-เพิ่มความเป็นประชาธิปไตยให้พรรค" หลังพบว่าการปฏิรูปการเมืองหลังรัฐประหารปี 2557 "จับต้องแทบไม่ได้"
ก่อน "ศึกชิงหัว" ปชป. จะอุบัติขึ้นอย่างเป็นทางการ บีบีซีไทยสนทนากับอภิสิทธิ์-ผู้เป็นหัวขบวน ปชป. มายาวนานถึง 13 ปี เขาเฉลยเบื้องหลังแนวคิดเลือกหัวหน้าพรรคด้วยวิธีการใหม่ว่า เป็นไปเพื่อเสริมให้ผู้ชนะการหยั่งเสียงขั้นต้นมี "ความสง่างาม" และมี "ภาวะของเป็นผู้นำที่ชัดเจนขึ้น"
ตามโรดแมปของอภิสิทธิ์ ปชป. จะได้ชื่อหัวหน้า คนที่ 8 ในเดือน พ.ย. ซึ่งสัมพันธ์โดยตรงกับชื่อ "นายกฯ ในบัญชี" ที่พรรคต้องชูเข้าชิงเก้าอี้ผู้นำประเทศไทยคนที่ 30
"เท่าที่ผมฟังมาในพรรคประชาธิปัตย์ ที่แน่ ๆ คนที่เป็นหัวหน้าพรรคก็สมควรได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี ส่วนจะเสนอเพียงคนเดียว หรือจะเสนอชื่อที่ 2 ที่ 3 ด้วยยังไม่ได้มีการแลกเปลี่ยนพูดคุยกันอย่างจริงจัง แต่ก็คงไม่มีแนวคิดที่จะไปเสนอชื่อคนนอก" อภิสิทธิ์กล่าว
เมินข่าวไม่ทิ้งอภิสิทธิ์ ปชป. ชวดสิทธิร่วมรัฐบาล
ทว่า อภิสิทธิ์ยอมรับว่า ได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างจากทั้งคนในพรรคและคนที่เคยอยู่วงในพรรคว่าหากเขายังเป็นหัวหน้า ก็ยากที่ ปชป. จะได้สิทธิเข้าร่วมรัฐบาล แต่เขาไม่ยี่หระ เพราะมองว่าคนมีความเห็นกันได้ทั้งนั้น แต่เรื่องสำคัญที่สุดสำหรับ ปชป. คือต้องทำตัวให้เป็นหลักของบ้านเมือง และเป็นคำตอบให้สังคมว่าจะออกจากปัญหาเศรษฐกิจและการเมืองในสภาพปัจจุบันนี้อย่างไร
"ที่เราอยู่มาจนถึงทศวรรษที่ 8 เพราะเราไม่ได้มองว่าเราดำรงอยู่เพียงเพื่อการเลือกตั้งครั้งใดครั้งหนึ่ง หรือเป็นรัฐบาลครั้งใดครั้งหนึ่ง แต่เรื่องอุดมการณ์ หลักการ และจุดยืนเป็นเรื่องสำคัญ" และ "ถ้าไปพะวงกับเสียงร่ำลือว่าอยากจะเป็นรัฐบาลต้องอย่างนั้นอย่างนี้ ผมว่าเราก็จะไม่ได้ทำหน้าที่ของเราในฐานะพรรคการเมืองที่เป็นหลักของประเทศ"
ทั้ง "ปัจจัยพิเศษ" และ "มือที่มองไม่เห็น" ที่คอยเสียบ-สกัด-ขัดขวางการรั้งเก้าอี้หัวหน้าพรรค ปชป. ของอภิสิทธิ์ เป็นเรื่องที่เจ้าตัวไม่รู้ แต่ก็ไม่กังวลใจ เพราะเชื่อว่าการตัดสินใจภายในองค์กรของเขาเป็นเรื่องของสมาชิกพรรคโดยแท้
"หากใครอยากจะเข้ามาแทรกแซงแทรกซึม ก็ต้องไปแทรกแซงแทรกซึมสมาชิกโดยทั่วไป" เขาบอก
"ไม่ได้คิดถอย"
แม้ระดับนำบางส่วนของพรรคประกาศสนับสนุน อภิสิทธิ์ เป็นหัวหน้าพรรคต่อไป แต่ก็มีบางคนแอบไปทาบทามคนนอกพรรคเป็นคู่แข่ง บางคนโยนข้อเสนอให้พรรคเดินเข้าสู่สนามเลือกตั้งโดยไม่จำเป็นต้องมีหัวหน้าที่มีอำนาจเต็ม นี่ย่อมเป็นปรากฏการณ์ "ไม่ปกติ" สำหรับพรรคที่ประกาศตนเป็นสถาบันการเมืองแห่งนี้ ทว่าอภิสิทธิ์กลับเห็นเป็นการดีที่สมาชิกพรรคจะได้เป็นผู้ให้คำตอบว่าอยากให้ ปชป. เดินไปในทิศทางใด
สรุปแล้วไพรมารีเลือกหัวหน้า ปชป. เป็นการต่อสู้ขับเคี่ยวกันในพรรค หรือต่อสู้กับ "ใครบางคน" ที่อยู่นอกพรรค
อภิสิทธิ์หัวเราะในลำคอ ก่อนตอบว่าเป็นเรื่องภายใน แต่พรรคก็เปิดกว้าง พรรคไม่ได้อยู่ในสุญญากาศ ก็เป็นธรรมดา
น่าสนใจว่าหากอภิสิทธิ์ "แพ้โหวต" ในระบบที่ตัวเองคิด-ทำ-นำเสนอขึ้น อนาคตทางการเมืองของเขาจะเป็นอย่างไร สถานะที่เขาพึงใจคือ "เป็นสมาชิกพรรค" ส่วนจะยังลงสู่สนามเลือกตั้งในปี 2562 ได้หรือไม่ เป็นเรื่องที่เขาต้องดูว่าผู้ชนะมีแนวคิดอย่างไร
"ผมไม่สามารถไปบังคับหัวหน้าหรือกรรมการบริหารพรรคได้ แต่ผมก็จะแสดงเจตจำนงในการทำงานให้กับพรรคประชาธิปัตย์"
คำตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้จากปากของเขา อาจทำให้กระบวนการทำไพรมารีเลือกหัวหน้า ปชป. ถูกถอดรหัสออกมาเป็น 2 แนวทาง ไม่อภิสิทธิ์กำลัง "ต่อสู้" สุดชีวิตโดยเอาเสียงสมาชิกพรรคเป็นหลังพิง ก็กำลังหาทาง "ถอย" อย่างเนียน ๆ เพื่อรักษาพรรค
"ผมไม่ได้คิดถอย" เขาแย้งทันควัน
"และผมก็ไม่ได้คิดเรื่องตัวเองในการทำเรื่องนี้ ผมมองว่าอันนี้คือสิ่งที่จะเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับพรรคการเมือง"
คน ปชป. ร้องหาชวน คนละเหตุผล พท. ถวิลหาทักษิณ
หลายครั้งเมื่อเกิดวิกฤตภายในพรรค สมาชิก ปชป. มักหวนหาอดีต เรียกร้องให้ ชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ที่นั่งเก้าอี้มา 12 ปี กลับมาถือธงนำทัพ
อภิสิทธิ์ผู้ถูกมองว่าเป็น "เด็กสร้างของนายหัว" ชี้แจงว่าเป็นเรื่องธรรมดาของพรรคการเมืองที่มีความหลากหลาย และไม่อยากให้มองว่าการมีส่วนร่วม การแข่งขัน เป็นเรื่องของความขัดแย้ง แต่เป็นธรรมชาติของประชาธิปไตย
นี่คล้ายกับปรากฎการณ์ภายในพรรคเพื่อไทย (พท.) ที่สมาชิกยังถวิลหา ทักษิณ ชินวัตร
"คงจะคนละเหตุผลกันละมั้งครับ เพราะว่าคุณทักษิณที่ไม่ได้อยู่ในการเมืองก็เพราะว่ามีกฎหมายเป็นอุปสรรคขวางกั้นอยู่ แต่คุณชวนไม่ได้มีปัญหาเรื่องกฎหมาย และท่านก็ประสงค์จะทำงานอย่างที่ท่านทำอยู่" เขาอธิบาย
"อย่าดึงสถาบันมาเกี่ยวข้อง"
ปี 2548 อภิสิทธิ์ขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำสูงสุดในพรรค ด้วยแรงสนับสนุนอย่างแข็งขันจากเลขาธิการพรรคที่ชื่อ สุเทพ เทือกสุบรรณ
ปี 2551 อภิสิทธิ์ขึ้นสู่จุดสูงสุดในชีวิตการเมืองในฐานะประมุขฝ่ายบริหาร ด้วยการเดินเกมทั้งบนดิน-ใต้ดินของ "ผู้จัดการรัฐบาล" ที่ชื่อ สุเทพ
ปี 2561 อภิสิทธิ์อยู่ในเกมชิงชัยเป็นหัวหน้า ปชป. อีกครั้ง และกำลังจะเดินเข้าสู่สนามเลือกตั้งปีหน้า ทว่าไร้เงาชายชื่อ สุเทพ ข้างกาย เมื่อเขาแยกวงไปเป็นผู้ร่วมก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.)
อดีตนายกฯ คนที่ 27 ยอมรับว่า "มีความผูกพัน" ในฐานะเคยร่วมงานกันมา แต่ก็ "ไม่หวั่นไหว"
"แน่นอนคนที่มีแนวโน้มจะสนับสนุนพรรครวมพลังประชาติไทยก็ต้องบอกว่าน่าจะอยู่ในกลุ่มคนที่เคยหรือน่าจะสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ ก็ว่าไปตามกระบวนการแข่งขันการเลือกตั้งไป"
กับข้อวิเคราะห์ที่ว่าการเลือกตั้งปี 2562 จะเป็นสมรภูมิการต่อสู้ระหว่างฝ่ายก้าวหน้ากับฝ่ายอนุรักษ์นิยม ถึงขั้นมีพรรคประกาศตัวขอเป็น "พรรคพสกนิกร" คนการเมืองรายนี้ก็ต้องการเห็นการเลือกตั้งเป็นการพูดถึงการแข่งขันระหว่างแนวความคิด ดีกว่าไปพูดกันว่าพรรคไหนพวกใคร
"ผมก็ได้ประกาศชัดว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่ใช่อนุรักษ์นิยม แต่เป็นเสรีนิยมประชาธิปไตย แต่ประชาธิปัตย์ไม่ใช่พรรคสุดโต่ง ไม่ใช่พรรคที่จะสร้างปัญหาให้เกิดการเผชิญหน้าหรือเอาความรุนแรงกลับมา นี่คือจุดของเรา" และ "ผมไม่สนับสนุนใครก็ตามที่จะล้มล้างสถาบันหลักของชาติ ขณะเดียวกันผมมองว่าสถาบันหลักของชาติเป็นจุดศูนย์รวม เพราะฉะนั้นการเมืองพึงระมัดระวังในการที่จะนำเอาสิ่งที่เป็นจุดศูนย์รวมกลายมาเป็นปมขัดแย้งในทางการเมือง"
คสช. ผูกขาดการรักษาความมั่นคงสถาบันหลักของชาติไม่ได้
อย่างไรก็ตามเชื่อกันว่าผู้สนับสนุน คสช. ให้ "ขยายอำนาจ" ออกไปหลังการเลือกตั้ง จะอ้างว่ากระทำการในนามของการรักษาความสงบเรียบร้อยของชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เพราะทหารสวมบทบาท "ผู้พิทักษ์" ได้ดีกว่านักเลือกตั้ง นี่อาจเป็นการสร้างความชอบธรรมให้แก่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่อภิสิทธิ์ไม่คิดว่า คสช. จะ "ผูกขาด" ความคิดนี้ได้
"การรักษาความมั่นคงของสถาบันเป็นเรื่องของทุกฝ่าย และผมก็ยืนยันว่าพรรคประชาธิปัตย์ ก็ให้การสนับสนุนความมั่นคงของสถาบันหลักของชาติมาโดยตลอด วิธีการอาจจะแตกต่างหรือเหมือนกับรัฐบาลอื่น ๆ หรือ คสช. แต่ผมไม่คิดว่า คสช. จะสามารถผูกขาดความคิดที่ว่าเฉพาะ คสช. เท่านั้นจึงจะสามารถสร้างความมั่นคงให้สถาบันหลักของชาติได้"
จริงอยู่ที่ความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง เป็นงานที่ประชาชนให้คะแนนรัฐบาล คสช. ในระดับสูง แต่สิ่งที่อภิสิทธิ์ชี้ชวนให้สังคมมองคือผลงานนี้ "ได้มาด้วยสถานการณ์พิเศษ และวิธีพิเศษหรืออำนาจพิเศษ สิ่งนี้ไม่สามารถเป็นผลงานที่ยั่งยืนได้ ประวัติศาสตร์โลกก็พิสูจน์ครั้งแล้วครั้งเล่า"
ไม่เป็นกองเชียร์ คสช. ไม่เป็นพันธมิตร พท.
ในขณะที่หลายพรรคการเมืองเปิดตัวเป็น "กองเชียร์" หัวหน้า คสช. ให้เข้าสู่สนามการเมืองเต็มขั้น นายกฯ รุ่นพี่อย่างอภิสิทธิ์กลับเปิดหน้าประกาศตัว "ไม่ใช่ทางเลือกของผู้มีอำนาจในปัจจุบัน"
"พรรคประชาธิปัตย์ไม่ใช่เครื่องมือของใคร ประชาธิปัตย์ไม่จำเป็นต้องเป็นกองหนุนกองเชียร์ของใคร เราต้องการเสนอทางเลือกที่เป็นหลักของสังคม ส่วนจะได้เป็นหรือไม่ควรจะให้ประชาชนตัดสิน สมมติว่าพรรคประชาธิปัตย์เข้าสู่สนามเลือกตั้งมีทางเลือกที่ชัดเจนแล้วได้คะแนนมามากมาย ถามว่าทำไมประชาธิปัตย์ต้องไปเล่นบทเป็นผู้สนับสนุนคนอื่น"
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อภิสิทธิ์สวมบทขั้วตรงข้ามความคิดของนายพล คสช. ในห้วงเวลา 4 ปีที่ผ่านมา จึงไม่แปลกหากสมาชิก พท. บางคนจะเอ่ยปากชวน ปชป. ร่วมจับมือต่อต้านการหวนคืนอำนาจของ คสช. หลัง 2 พรรคใหญ่เคยสร้างปรากฏการณ์ "พันธมิตรมุมกลับ" มาแล้วในสนามประชามติเมื่อปี 2559
หัวหน้า ปชป. คนที่ 7 ส่งเสียงหัวเราะแทนการตอบรับเทียบเชิญดังกล่าว เพราะเห็นว่าในชั้นนี้ยังไม่มีการพูดถึงพันธมิตร และย้ำหลักสากลที่ว่าหากใครสามารถรวบรวมเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรได้ก็ควรได้จัดตั้งรัฐบาล
"การที่ใครจะไปร่วมกับใครมันต้องมีเหตุผล และเหตุผลนั้นต้องครอบคลุมถึงแนวคิดและการทำงานว่าไปด้วยกันได้ ผมไม่อยากเห็นการไปจับมือเพียงเพื่อบอกปฏิเสธใคร แต่ปรากฏว่าสุดท้ายก็ทำงานด้วยกันมาได้ มันต้องมีความเป็นเอกภาพหนึ่งเดียวพอสมควรที่จะบอกว่าจะไปร่วมกับใคร มันต้องอยู่ตรงนั้น"
หัวหน้าพรรควัย 54 ปีเคยตั้งเป้าเกษียณอายุการเมืองเมื่ออายุครบ "ครึ่งร้อย" แต่รัฐประหารปี 2557 ทำให้เวลา 4 ปีของเขาหายไปเฉย ๆ แม้ยังมีฝัน-มีไฟ-มีความตั้งใจ แต่ก็รู้ตัวว่าตัวเองเดินมาถึงระยะ "ใกล้ช่วงสุดท้าย" แล้ว
ถึงวันนี้ เขายังไม่อาจระบุได้แน่ชัดว่าการเลือกตั้งปี 2562 จะเป็นการลงสนามครั้งสุดท้ายหรือไม่ แต่เขาเลือกหยุดสถิติการเป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ ไว้ที่ 3 สมัย
"ผมไม่ต้องหาทางลงอะไร ผมไม่ได้มีความกังวลอะไร... เมื่อไรที่ประชาชนให้โอกาสก็ทำเต็มที่ เมื่อไรประชาชนบอกให้หยุด ก็หยุด" เขากล่าวทิ้งท้าย