สาวกลัทธิ "วิหารซาตาน" ชูเมตตาธรรมนำการต่อสู้เพื่อเสรีภาพทางศาสนา

ลูเซียน กรีเวซ (คนขวาสุด) ผู้ก่อตั้งลัทธิวิหารซาตานใช้นามแฝงหลายชื่อเพื่อปกปิดตัวตนที่แท้จริง

ที่มาของภาพ, Gemma Purkiss

คำบรรยายภาพ, ลูเซียน กรีเวซ (คนขวาสุด) ผู้ก่อตั้งลัทธิวิหารซาตานใช้นามแฝงหลายชื่อเพื่อปกปิดตัวตนที่แท้จริง

คุณจะเชื่อหรือไม่ หากมีคนบอกว่าสิ่งที่คุณและสังคมส่วนใหญ่รู้มาเกี่ยวกับลัทธิบูชาซาตานนั้นผิดทั้งหมด ?

ภาพยนตร์สารคดี "ซาตานจงเจริญ ?" หรือ Hail Satan ? ซึ่งเพิ่งลงโรงฉายในสหรัฐฯ ไปเมื่อไม่กี่วันก่อน บอกเล่าเรื่องราวของลัทธิ "วิหารซาตาน" (Satanic Temple) และความพยายามในการใช้สันติวิธีต่อสู้เพื่อความยุติธรรมและเสรีภาพในการนับถือศาสนา ซึ่งฟังดูแล้วเหมือนจะตรงกันข้ามกับภาพลักษณ์ของลัทธิอันชั่วร้ายที่ทุกคนเคยคิดไว้

ลัทธิวิหารซาตานเพิ่งก่อตั้งเมื่อปี 2013 ในสหรัฐฯ และเป็นคนละกลุ่มกับ "ศาสนจักรแห่งซาตาน" (The Church of Satan) ซึ่งก่อตั้งเมื่อปี 1966 โดยแอนทัน แลวี คนดังในอดีตของวงการทอล์กโชว์อเมริกัน

ลัทธิที่เพิ่งก่อตั้งล่าสุดไม่มีการดื่มเลือด ไม่มีพิธีบูชายัญมนุษย์ และมีพิธี "มิสซาดำ" (Black mass) ในแบบที่แตกต่างไปจากจินตนาการของคริสต์ศาสนิกชนผู้เกลียดกลัวซาตานส่วนใหญ่

เพนนี เลน ผู้กำกับภาพยนตร์สารคดี "ซาตานจงเจริญ ?" บอกกับผู้สื่อข่าวบีบีซีว่า เธอได้ยินเกี่ยวกับลัทธิวิหารซาตานเป็นครั้งแรกเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง หลังจากที่บรรดาสาวกเริ่มรณรงค์เคลื่อนไหวทางการเมืองในรัฐโอคลาโฮมา

สาวกลัทธิวิหารซาตานบอกว่า พวกตนกำลังต่อสู้เพื่อให้สหรัฐฯ เป็นสังคมฆราวาสนิยมอย่างแท้จริง

ที่มาของภาพ, Gemma Purkiss

คำบรรยายภาพ, สาวกลัทธิวิหารซาตานบอกว่า พวกตนกำลังต่อสู้เพื่อให้สหรัฐฯ เป็นสังคมฆราวาสนิยมอย่างแท้จริง

ถ้อยแถลงว่าด้วยพันธกิจของลัทธิวิหารซาตานระบุว่า "เราจะส่งเสริมเมตตาธรรมและความกรุณาปรานีต่อกันในหมู่ผู้คนทั้งหลาย ปฏิเสธและต่อต้านการใช้อำนาจของทรราชย์ สนับสนุนความเป็นธรรมและการใช้สามัญสำนึกเพื่อสิ่งที่เป็นไปได้ในทางปฏิบัติ ยอมรับคำบัญชาจากจิตสำนึกของความเป็นมนุษย์ เพื่อดำเนินภารกิจอันสูงส่งที่นำทางด้วยเจตจำนงของปัจเจกบุคคล"

เป้าหมายหลักในการรณรงค์ของลัทธิวิหารซาตาน ซึ่งเป็นประเด็นที่ภาพยนตร์สารคดีของเลนติดตามอย่างใกล้ชิดก็คือ "ภารกิจมุ่งสกัดกั้นอิทธิพลทางการเมืองของคริสต์ศาสนาในสหรัฐฯ ซึ่งเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยกำลังคืบคลานเข้าแทรกแซงก้าวก่ายชีวิตของชาวอเมริกัน"

ลูเซียน กรีเวซ หนึ่งในผู้ก่อตั้งและโฆษกของลัทธิวิหารซาตานที่มีสมาชิกกว่า 50,000 คนบอกว่า การเมืองการปกครองแบบรัฐศาสนากำลังเข้าครอบงำสหรัฐฯ เห็นได้จากการสร้างอนุสาวรีย์ "บัญญัติสิบประการ" ที่อาคารรัฐสภาของรัฐโอคลาโฮมา ซึ่งทำให้ทางลัทธิของเขาเรียกร้องที่จะตั้งรูปปั้น "บาโฟเมต" (Baphomet) เทพแห่งลัทธิบูชาซาตานขึ้นที่นั่นด้วยเช่นกัน

"เราต้องการความเป็นธรรมทางสังคมและสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานในการเลือกนับถือศาสนา เราต้องการให้ผู้คนทบทวนเรื่องสถานะของสหรัฐอเมริกาที่ทำตัวดูคล้ายกับประเทศของคริสต์ศาสนาเข้าไปทุกที ทั้งที่จริงแล้วมันไม่ใช่" กรีเวซกล่าว

ลัทธิวิหารซาตานประกอบพิธี "มิสซาดำ" ในรูปแบบของศิลปะการแสดงบนเวที

ที่มาของภาพ, Gemma Purkiss

คำบรรยายภาพ, ลัทธิวิหารซาตานประกอบพิธี "มิสซาดำ" ในรูปแบบของศิลปะการแสดงบนเวที

หลายคนอาจมองว่าลัทธิบูชาซาตานเป็นเพียงเรื่องตลกขบขันที่คนบางกลุ่มจัดทำขึ้น เพื่อเรียกร้องความสนใจจากสังคมกันเล่น ๆ ไม่ถือเป็นจริงเป็นจังเท่าใดนัก แต่ในกรณีของลัทธิวิหารซาตานนั้นตรงกันข้าม นอกจากจะไม่ส่งเสริมการกระทำที่ชั่วร้ายแล้ว พวกเขายังเรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐฯยึดมั่นในหลักฆราวาสนิยม (Secularism) ซึ่งแยกศาสนาและการเมืองออกจากกันอย่างเด็ดขาดอีกด้วย โดยรัฐจะต้องไม่สนับสนุนส่งเสริมศาสนาหรือลัทธิความเชื่อใดเป็นพิเศษ

ภาพยนตร์สารคดีของเลนติดตามชาวลัทธิวิหารซาตานไปทำกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์หลายอย่างที่พวกเขาจัดขึ้น เช่นการบริจาคโลหิต เก็บรวบรวมถุงเท้าเพื่อมอบให้คนไร้บ้าน ทำความสะอาดและเก็บขยะที่ชายหาด รวมทั้งจัดอบรมหลังเลิกเรียนให้กับเด็ก ๆ โดยสอนให้มีความเมตตาต่อสัตว์โลก ผ่านการใช้เหตุผลคิดไตร่ตรองด้วยตนเอง

ลัทธิวิหารซาตานยังสอนว่า คนเราทำผิดพลาดกันได้เป็นธรรมดา แต่จะต้องพยายามแก้ไขความผิดนั้นให้ดีที่สุด และต้องป้องกันไม่ให้ผู้อื่นได้รับอันตรายจากความผิดพลาดนั้นด้วย

ผู้กำกับภาพยนตร์สารคดีเกี่ยวกับลัทธิวิหารซาตานบอกว่า "ไม่ใช่เรื่องซับซ้อนที่จะเข้าใจได้ว่า พวกเขาก่อตั้งลัทธิความเชื่อแบบที่อยู่บนพื้นฐานของแนวคิดทางนามธรรมและหลักการที่ปฏิบัติได้จริง ไม่ใช่การบูชาเทพเจ้าอย่างบ้าคลั่งงมงาย"

เนื้อหาในภาพยนตร์สารคดีของเลนมีหลายตอนที่สัมภาษณ์บรรดาสาวกของลัทธิวิหารซาตาน ซึ่งพวกเขายืนยันว่าแม้จะมีพิธีร่ายบทสวดปลุกซาตานอยู่ก็จริง แต่พวกเขาไม่ได้นับถือซาตานที่เป็นเทพเศียรแพะมีปีก ผู้คอยดลใจให้มนุษย์ทำความชั่วตามคติในศาสนาคริสต์ ทว่าพวกเขายึดถือนิยามของซาตานแบบตรงตัวตามคำแปลจากภาษาฮีบรู ซึ่งคำว่าซาตานนั้นหมายถึง "ศัตรู" หรือ "ฝ่ายตรงข้าม" ซึ่งเป็นพลังอำนาจหนึ่งในธรรมชาติ

ข้าม YouTube โพสต์
ยินยอมรับเนื้อหาจาก Google YouTube

บทความนี้ประกอบด้วยเนื้อหาจาก Google YouTube เราขอความยินยอมจากคุณก่อนใช้คุกกี้ หรือเทคโนโลยีอื่น ๆ บันทึกอะไรลงไป คุณอาจต้องอ่านนโยบายคุกกี้ของ Google YouTube และนโยบายความเป็นส่วนตัวของ Google YouTube ก่อนให้ความยินยอม หากต้องการอ่านเนื้อหานี้ โปรดเลือก "ยินยอมและไปต่อ"

คำเตือน:เนื้อหาภายนอกอาจมีโฆษณา

สิ้นสุด YouTube โพสต์

ภาพยนตร์สารคดี "ซาตานจงเจริญ ?" ยังกล่าวถึงกระแสความตื่นตระหนกหวาดกลัวลัทธิบูชาซาตานในสหรัฐฯ ซึ่งพุ่งขึ้นถึงขีดสุดในช่วงทศวรรษที่ 1980 - 1990 โดยได้รับอิทธิพลจากวงการดนตรีและวิดีโอเกมเป็นหลัก

กลุ่มองค์กรชาวคริสต์ฝ่ายขวาจัดจำนวนมาก เชื่อว่ามีขบวนการลับใต้ดินซึ่งจัดตั้งเป็นองค์กรเผยแพร่ลัทธิบูชาซาตานอยู่จริง ทั้งยังเชื่อว่ากลุ่มลัทธิเหล่านี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่ออาชญากรรมร้ายแรง เช่นการฆ่าคน ทรมานสัตว์ ข่มขืนเด็ก โดยอาชญากรล้วนลงมือทำไปในนามของซาตาน

กระแสความเชื่อนี้ทำให้เกิดการ "ล่าแม่มด" ของบรรดาชาวคริสต์ขวาจัด โดยพยายามมองหาสัญลักษณ์ของซาตานไปทุกหนทุกแห่ง จนทำให้คนที่นับถือลัทธิซาตานหลายคนต้องตกอยู่ในสภาพที่ชีวิตถูกทำลาย แม้จะไม่ได้ทำผิดกฎหมายข้อใดเลยก็ตาม บางคนถูกกล่าวหาจนถึงขั้นต้องโทษจำคุกไปก็มี

กระแสความเชื่อที่รุนแรงนี้ยังส่งผลมาจนถึงปัจจุบัน โดยตัวของนายกรีเวซซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งลัทธิวิหารซาตานเองนั้น ก็ต้องคอยปกปิดตัวตนที่แท้จริงรวมทั้งข้อมูลทางครอบครัวของเขาด้วยเพื่อความปลอดภัย

ชาวคริสต์ฝ่ายขวาจัดเดินขบวนต่อต้านลัทธิบูชาซาตาน

ที่มาของภาพ, Gemma Purkiss

คำบรรยายภาพ, ชาวคริสต์ฝ่ายขวาจัดเดินขบวนต่อต้านลัทธิบูชาซาตาน

ชื่อ "ลูเซียน กรีเวซ" ที่เขาใช้อยู่ในทุกวันนี้ก็เป็นชื่อปลอม ก่อนหน้านี้เขาเคยได้รับคำขู่เอาชีวิตมาแล้ว และต้องสวมเสื้อกันกระสุนไปในงานเปิดผ้าคลุมรูปปั้นบาโฟเมตกลางเมืองโอคลาโฮมาซิตี

"ฉันไม่ได้นับถือลัทธิวิหารซาตาน และไม่ได้นับถือศาสนาใดเลยด้วยซ้ำ แต่ก็ยังเข้าใจพวกเขาได้ว่าต้องการให้สังคมจดจำเหตุการณ์ในอดีต ไม่ใช่ทำเหมือนกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น รวมทั้งต้องการขอความเป็นธรรมให้กับผู้นับถือลัทธิบูชาซาตานที่ไม่ได้ทำอะไรผิดด้วย" เลนกล่าว

"ฉันเป็นห่วงและกังวลถึงสวัสดิภาพของคนในลัทธิวิหารซาตานที่ยอมปรากฏตัวในหนังสารคดีของฉันเสียจริง ๆ การที่พวกเขาตัดสินใจเปิดเผยตัวตน ทำให้ต้องรับความเสี่ยงที่จะพบกับอันตรายมากขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา"