อภิปรายไม่ไว้วางใจ : โรมถามหาความรับผิดชอบ ประยุทธ์-ประวิตร ปล่อยให้มี “ตั๋วช้าง” แทรกแซงแต่งตั้งตำรวจ

  • หทัยกาญจน์ ตรีสุวรรณ
  • ผู้สื่อข่าวบีบีซีไทย
tnp

ที่มาของภาพ, Thai news pix

คำบรรยายภาพ,

เกือบตลอดเวลาที่นายรังสิมันต์ โรม พูดถึง พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ เขาได้ทำสัญลักษณ์ "ชู 3 นิ้ว"

ในวันที่ 4 ของการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล 2 ส.ส. สังกัดพรรคก้าวไกล พุ่งเป้าโจมตี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ฐานปล่อยให้กองทัพผลิต "ขบวนการไอโอ" ใช้ภาษีสร้างความแตกแยกในหมู่ประชาชน รวมถึงละเว้นหลักเกณฑ์การแต่งตั้งข้าราชการตำรวจเปิดทางให้ 2 นายตำรวจเลื่อนตำแหน่งอย่างรวดเร็ว

"ทำลายความสัมพันธ์อันดีระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับประชาชน นำสถาบันเป็นข้ออ้างเพื่อแบ่งแยกประชาชน แอบอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นเกราะปิดบังความผิดพลาดล้มเหลวในการบริหารราชการแผ่นดินของตนเอง" คือคำบรรยายพฤติการณ์และข้อกล่าวหาของ พล.อ. ประยุทธ์ ที่ฝ่ายค้านระบุไว้ในญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจฯ

ทว่าเพียงนายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เริ่มบรรยายข้อกล่าวหาตามญัตติ ก็เรียกเสียงประท้วงจากนายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส. พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ที่บอกว่า "ห้ามเอ่ยถึงสถาบันฯ" และลั่นวาจาว่า "หากท่านพูดเรื่อย ๆ ผมก็จะประท้วงไปเรื่อย ๆ"

จากนั้นนายรังสิมันต์เริ่มเข้าสู่ประเด็นการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจ โดยกล่าวหา พล.อ. ประยุทธ์ และ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ว่าละเลยและเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาตั้งแต่ยุครัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ถึงปัจจุบัน จนกลายเป็น "ที่ซ่องสุมของคนที่เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ ละเลยให้มีการใช้เส้นสาย" ทำให้วงการตำรวจเพิกเฉยต่ออาชญากรรม กระทำต่อผู้บริสุทธิ์ เปิดบ่อนไม่ว่า ค้ายาบริสุทธิ์ เจอเจ้าพ่อแล้วนอบน้อม แต่เจอม็อบแล้วสู้ตาย

ส.ส. พรรคก้าวไกลหยิบยกเอาสิ่งที่เขาเรียกว่า "คำสารภาพ" ของ 2 นายตำรวจมาชี้ให้เห็นถึง "ตั๋ว" ในแวดวงสีกากี

คนแรกคือ พล.ต.ต. วิสุทธ์ วานิชบุตร อดีตนายตำรวจ ให้สัมภาษณ์เมื่อเดือน ก.ค. 2559 ว่าถ้ามีเงิน มีผลงาน รับรองผ่านฉลุย ถ้าต้องการไปอยู่ สน.บางรัก แต่ไม่มีผู้ใหญ่หนุน ต้องเสียเงิน 8 ล้าน แต่ถ้ามีตั๋วจากผู้ใหญ่ จะจ่ายแค่ 4 ล้านบาท

อีกคนคือ พ.ต.อ.ดร. กันตพงษ์ นิลขำ โพสต์เฟซบุ๊กว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม หลังถูกโยกย้ายจากตำรวจสืบสวนไปเป็นฝ่ายธุรการ และบอกว่าทำดีไม่มีผล แต่ถ้ามีตั๋ว มีนาย มีเงิน ทำได้ทุกอย่าง

ถามประวิตรปล่อย "ต่อศักดิ์" ทำหนังสือขอตั้ง 3 ตร. ได้ไง

นายรังสิมันต์หยิบยกเอกสาร "ขอสนับสนุนขอรับการแต่งตั้ง" ลงวันที่ 14 มี.ค. 2562 ซึ่งอ้างว่า พล.ต.ต. ต่อศักดิ์ สุขวิมล (ยศขณะนั้น ปัจจุบันเป็นผู้บังคับการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) ครองยศ พล.ต.ท.) ส่งถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) โดยตรง เพื่อให้แต่งตั้ง 3 ตำรวจนอกกองบัญชาการของตัวเอง ทั้งที่คนระดับผู้บังคับการไม่มีอำนาจในการแต่งตั้งนายตำรวจ

"ขอตั้งคำถามไปยัง พล.อ. ประวิตร ซึ่งดำรงตำแหน่งประธาน ก.ตร. (คณะกรรมการตำรวจแห่งชาติ) ในขณะนั้นว่ารู้หรือไม่ว่ามีนายตำรวจระดับผู้บังคับการทำหนังสือฉบับนี้ถึง ผบ.ตร. ในช่วงที่ท่านคุมตำรวจอยู่" นายรังสิมันต์กล่าว

tnp

ที่มาของภาพ, Thai news pix

คำบรรยายภาพ,

หลังจากประท้วงหลายครั้ง นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. ลุกขึ้นจากที่นั่งของ พปชร. และไปนั่งอยู่ใกล้กับฝ่ายค้าน ระหว่างที่นายรังสิมันต์กำลังอภิปราย ทำให้ประธานเตือนให้เขากลับไปประจำที่

ต่อมาเขาได้ไล่เส้นทางการเติบโตในแวดวงราชการของ พล.ต.ท. ต่อศักดิ์ นับจากปี 2541-2563 จากดำรงตำแหน่งระดับรองสารวัตร (รอง สว.) ไต่ระดับสู่การเป็นผู้บัญชาการ (ผบช.) ซึ่งพบว่ามีการยกเว้นหลักเกณฑ์ในการเลื่อนขั้นตามกฎ ก.ตร. และประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีให้แก่นายตำรวจรายนี้ 3 ครั้งติดต่อกัน (2561-2563) จึงสามารถขยับชั้นจากผู้กำกับการ (ผกก.) เป็น ผบช. ในเวลาเพียง 3 ปี 4 เดือน จากปกติต้องใช้เวลา 12 ปี ถือเป็นการประหยัดเวลาไปได้ถึง 8 ปี 8 เดือน ก่อนตั้งคำถามว่า "ทำไมท่านถึงได้รับการอวยยศ" แล้วโยนคำถามใส่ พล.อ. ประยุทธ์ ในฐานะประธาน ก.ตร. คนปัจจุบัน โดยตรง

"ก.ตร. ยกเว้นหลักเกณฑ์ให้ แล้วเสนอเข้า ครม. ต่อโดยไม่มีร่องรอยการถกเถียงเลย... ขอถาม พล.อ. ประยุทธ์ว่ากล้ายืนยันหรือไม่ว่าคือการแต่งตั้งตำรวจที่ซื่อสัตย์สุจริตยุติธรรม และวันที่อนุมัติให้ยกเว้นหลักเกณฑ์ ก็เกิดขึ้นหลังจาก พล.ต.ท. ต่อศักดิ์เขียนคำขอสนับสนุนนายตำรวจนอกหน่วยแล้ว"

เกือบตลอดเวลาที่นายรังสิมันต์พูดถึงนายพลรายนี้ เขาได้ทำสัญลักษณ์ "ชู 3 นิ้ว" ก่อนที่บรรดา ส.ส. รัฐบาลจะลุกขึ้นประท้วง เพราะเห็นว่าเป็นการพาดพิงบุคคลภายนอก ทำให้รังสิมันต์ต้องหันมาพูดด้วยชื่อย่อแทน

อัดประธาน ก.ตร. ยกเว้นเกณฑ์ให้เข้าบัญชีแคนดิเดตท้ายตาราง

นายตำรวจอีกคนที่ถูกพาดพิงคือ "พล.ต.ต. จ." ซึ่งได้รับการยกเว้นหลักเกณฑ์ เช่นกัน ประหยัดเวลาไป 2 เดือน แม้เขาจะเอ่ยชื่อย่อ แต่ชาร์ตที่นำมาแสดงกลางสภาปรากฏชื่อ พล.ต.ต. จิรภพ ภูริเดช รอง ผบช.ก. อย่างชัดเจน ทำให้นายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม รีบเบรกเกมทันควัน และออกปากเตือนอีกครั้งว่าห้ามพูดถึงบุคคลภายนอกโดยไม่จำเป็น ทว่านายรังสิมันต์และเพื่อนร่วมพรรคต่างช่วยกันยืนยันเหตุผลความจำเป็นของการปูพื้น และเห็นว่าจำเป็นในการเอ่ยชื่อบุคคลภายนอก เพราะมีส่วนในการประพฤติมิชอบของนายกฯ และรองนายกฯ ทำให้ "ทีมองครักษ์" จาก พปชร. ยกมือประท้วงกันพรึ่บพรั่บ ขอให้ประธานใช้ข้อบังคับสั่งให้ผู้อภิปรายออกนอกห้องประชุมไปเพราะไม่เชื่อฟังประธาน จนประธานต้องกล่าวขึ้นว่า "คุณปารีณา (ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พปชร.) ไม่ต้องมาสั่งประธาน"

tnp

ที่มาของภาพ, Thai news pix

แม้ได้พูดต่อ แต่การอภิปรายของนายรังสิมันต์ก็ดำเนินไปอย่างตะกุกตะกัก เพราะมีผู้ประท้วงอย่างต่อเนื่อง

นายรังสิมันต์ชี้ว่า การยกเว้นหลักเกณฑ์ ทำให้ชื่อของ "พล.ต.ท. ต." กับ "พล.ต.ต. จ." เบียดเข้าไปอยู่ท้ายตารางบัญชีผู้เหมาะสมที่จะได้รับการพิจารณาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง พร้อมเปรียบเปรยสิ่งที่ พล.อ. ประยุทธ์ และ พล.อ. ประวิตรทำ "ไม่ต่างจากการย้อมแมว" ให้ตำรวจทั้ง 2 คนกลายเป็นผู้เหมาะสมและเป็นแคนดิเดต" ทั้งที่ไม่ควรอยู่ในตารางตั้งแต่ต้น การละเว้นหลักเกณฑ์เช่นนี้ได้สร้างความเสียหายให้แก่นายตำรวจที่ปฏิบัติตามครรลอง

นายพลคนสุดท้ายที่นายรังสิมันต์พาดพิงคือ "พล.อ.อ. ส." ที่ทำหนังสือ "ขอสนับสนุนการขอรับตำแหน่ง" ให้กับนายตำรวจบางนายข้ามหน่วยงาน ซึ่งนายรังสิมันต์ตั้งคำถามว่าใช้กฎหมายข้อใด

ส.ส. พรรคก้าวไกลกล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ยังมีการโอนย้ายตำรวจ 1,319 นายไปเป็นข้าราชการประเภทอื่นที่ไม่สังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) แต่มี 66 นายถูกลงนามคำสั่งโดย ผบ.ตร. ให้ไปปรับทัศนคติ ทำให้เหลือ 873 คน จึงอยากถามว่าทำไมต้องไปลงโทษคนที่เขาไม่พร้อมด้วย

แถลงนอกสภา จี้ "2 ป." รับผิดชอบปม "ตั๋วช้าง"

ในช่วงท้าย นายรังสิมันต์ระบุว่า ได้รวบรวมเรื่องตั๋วมา มีทั้ง "ตั๋ว ผบ.ตร." "ตั๋ว พล.อ. ประยุทธ์" "ตั๋ว พล.อ. ประวิตร" และ "ตั๋วช้าง" ซึ่งถ้าไม่ได้พูดจะเสียใจ มีตำรวจ 20 นายได้รับตั๋วนี้ ก่อนนำเอกสารชิ้นหนึ่งขึ้นฉายกลางสภา เนื้อหาระบุว่า "ด้วย พล.ต.อ. จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ได้มีหนังสือให้นำความ..." ทำให้นายไพบูลย์ลุกขึ้นประท้วงทันควัน โดยระบุว่า "ถ้ายังปล่อยให้อภิปรายไปอีกแม้แต่หนึ่งวินาที ท่าน (ประธาน) ก็จะทำให้สภามีปัญหา" สุดท้ายประธานได้สั่งห้ามพูดถึงสถาบันฯ แล้วให้สรุปจบ

"ในการทำหน้าที่ ส.ส. ผมรู้ว่าครั้งนี้เป็นการทำหน้าที่อันตรายที่สุดในชีวิต แต่เมื่อประชาชนเลือกมาแล้ว ก็ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ ผมไม่รู้ว่าผลจากการทำหน้าที่ในวันนี้จะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ ไม่รู้ว่า 3 วันข้างหน้ามีอะไรรออยู่ ไม่รู่ว่า 3 เดือนข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น จะยังพูดแทนประชาชนได้หรือไม่ แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมก็ไม่เสียใจที่ได้ทำหน้าที่ของผมในวันนี้" นายรังสิมันต์กล่าวทิ้งท้าย

การอภิปรายของ ส.ส. ฝ่ายค้านรายนี้จบลงในเวลาเกือบ 2 ชม. ก่อนที่เจ้าตัวจะเปิดแถลงข่าวนอกห้องประชุมสภาเกี่ยวกับ "ตั๋วช้าง" โดยระบุว่า มีการเขียนขอสนับสนุนแต่งตั้งนายตำรวจ 20 นายเพื่อให้ได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง ต่อมานายตำรวจเหล่านี้ก็ได้ย้ายไปอยู่ที่ชอบ ๆ กันถ้วนหน้า และได้เลื่อนขั้นมีความก้าวหน้าตามลำดับ "นี่อาจจะไม่ใช่ตั๋วที่ใช้ครั้งเดียวจบ แต่อาจจะใช้ไปได้ยาว ๆ ตลอดชีวิตราชการ"

เขาเรียก "จดหมายฝากตำแหน่งที่ดีที่สุดและไม่เคยได้รับการปฏิเสธ" ว่า "ตั๋วช้าง" พร้อมระบุว่ามีการอ้างว่ามีความจำเป็นที่ต้องใช้ข้าราชการตำรวจที่มีความจงรักภักดี ซื่อสัตย์ ขยันหมั่นเพียร ในการปฏิบัติหน้าที่ จึงอยากถามนายกฯ ในฐานะประธาน ก.ตร. ว่าปล่อยให้คนนอกเข้ามาแทรกแซงการบริหารงานใน สตช. ได้อย่างไร และจะรับผิดชอบต่อเรื่องนี้อย่างไร

tnp

ที่มาของภาพ, Thai news pix

นายกฯ แจงเลือก ตร.ราชวัลลภฯ หลักเกณฑ์เข้มเพื่อความสง่างาม

ด้านนายพล 2 ป. ได้ลุกขึ้นชี้แจงกลางสภาทันทีที่นายรังสิมันต์อภิปรายจบ โดย พล.อ. ประวิตร กล่าวยืนยันว่าในช่วงที่นั่งเป็นประธาน ก.ตร. ได้ทำตามระเบียบของกฎหมายทุกอย่าง เป็นไปตามขั้นตอนทุกอย่าง พร้อมขอบคุณที่อธิบายอย่างชัดเจนว่าใครไม่ได้อะไร นั่นเป็นเรื่องของรายละเอียด ซึ่งเป็นหน้าที่ของ สตช.

ขณะที่ พล.อ. ประยุทธ์กล่าวชี้แจงว่า การทำงานใดก็ตาม จำเป็นต้องรู้ขั้นตอน รู้กฎหมาย รู้วิธีการ หลักและแนวปฏิบัติในการทำงาน ก่อนชี้แจงว่า

  • หนังสือสนับสนุนการแต่งตั้งนายตำรวจระดับสารวัตรที่เสนอต่อ ผบ.ตร.: "เป็นเพียงหนังสือสนับสนุนการแต่งตั้ง โดยขึ้นอยู่กับดุลพินิจผู้บังคับบัญชาว่าจะรับหรือไม่ก็ได้ หรือไม่พิจารณาก็ได้"
  • การยกเว้นหลักเกณฑ์การแต่งตั้ง: เป็นการเสนอโดย สตช. ผ่านผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นมา โดยพิจารณาตามความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์การรับราชการ และผลงานที่ปรากฏ พร้อมยืนยันการแต่งตั้งที่ผ่านมา เป็นไปตามหลักเกณฑ์, พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติปี 2547 และกฎ ก.ตร. แต่ตำรวจที่คิดว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ก็ให้โอกาสในการร้องเรียนตามช่องทางต่าง ๆ มีอนุ ก.ตร. ทำหน้าที่รับเรื่อง "ตำรวจส่วนใหญ่มีความพอใจในช่วงที่ผ่านมาของรองนายกฯ และผม ไม่ใช่ใช้อำนาจแล้วไม่ให้โอกาสเขาร้องเรียนชี้แจง แต่เป็นอนุฯ ชี้แจง ผมสั่งเองไม่ได้ทั้งหมด อย่าคิดว่าผมนั่งหัวโต๊ะแล้วสั่งได้ ทุกอย่างเป็นไปตามมติ" พล.อ. ประยุทธ์กล่าว
  • รายชื่อท้ายบัญชี : เป็นรายชื่อที่ต้องเปิดเผยให้รับทราบว่าตัวเองอยู่ในกลุ่มที่มีคุณสมบัติเหมาะสมหรือไม่ ทุกรายชื่อต้องเข้ามาก่อนจะนำเข้ามาในระดับคัดกรองอีกครั้งหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องลับ "บัญชีแรกคือบัญชีความเหมาะสม เรื่องของความอาวุโส เพราะฉะนั้นจะหัวตารางหรือท้ายตาราง ทั้งหมดเป็นรายชื่อความเหมาะสมที่ถูกเสนอเข้ามา แต่สุดท้ายขึ้นอยู่กับว่าจะพิจารณาได้หรือไม่ได้ ตำแหน่งไหนสำคัญสมควรได้รับการยกเว้นหรือไม่ ส่วนจะเชื่อหรือไม่เชื่อ เป็นเรื่องของท่าน"
  • การคัดเลือกนายตำรวจ: "มีการแต่งตั้งหน่วยงานที่เรียกว่าตำรวจมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ เป็นการปรับย้าย ปรับโอนตำรวจให้ไปปฏิบัติงานเหล่านี้ ซึ่งจัดตั้งมาเพื่อถวายงานใกล้ชิด เรื่องการถวายความปลอดภัยและถวายพระเกียรติด้วย ดังนั้นต้องคัดเลือก คัดสรร และสอบถามทัศนคติ ถ้าไม่ผ่าน ไม่เหมาะสม ก็ยังปฏิบัติหน้าที่ตามเดิม ไม่มีการลงโทษอย่างใดทั้งสิ้น มีความจำเป็น เพื่อความสง่างาม เป็นการแสดงออกต่อสังคมภายนอกในการถวายงาน มีหลักเกณฑ์พิจารณาที่เข้มงวดพอสมควร

นายกฯ ได้แจกแจงระเบียบในการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ ซึ่งไม่ได้ยึดอาวุโสอย่างเดียว แต่ต้องมีความเหมาะสมด้วย ซึ่งในการตั้งข้าราชการตำรวจมี 3 ระดับ นายกฯ เกี่ยวเฉพาะในชั้น ก.ตร. ที่แต่งตั้งระดับนายพล และผลที่ออกมาต้องเป็นมติ เนื่องจากเราต้องคัดกรองเป็นอย่างดี พร้อมย้ำว่าที่มีคนไปเสียเงินเสียทอง ทั้งรองนายกฯ และนายกฯ เคยบอกแล้วว่าขอให้มาร้องเรียน ก็ไม่มีใครเข้ามาร้องเรียน แต่ไปพูดจากันภายนอก ก็เกรงว่าจะกลายเป็นหลอกเอาเงิน แอบอ้าง

"อยากถามว่าผมได้ประโยชน์จากที่ไหน มีหลักฐานหรือไม่ ที่บอกว่าใครจะหาหลักฐานได้ แบบนี้ก็ลอยลมไปมา มันพูดได้หมด" พล.อ. ประยุทธ์กล่าว

ขณะที่วอร์รูมฝ่ายกฎหมายของรัฐบาลได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายตรวจสอบ และถอดเทปคำพูดของนายรังสิมันต์ทั้งหมด ว่ามีประเด็นที่จะต้องดำเนินคดีในเรื่องของการผิดพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คอมพิวเตอร์ และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 หรือไม่

นายสุภรณ์ อัตถาวงษ์ กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ความเห็นกับผู้สื่อข่าวว่า มีข้อมูลที่บิดเบือนและอาจมีข้อมูลบางประเด็นที่มี หลักฐานเป็นเท็จ ก้าวล่วงถึงผู้ใหญ่ และก้าวล่วงถึงสถาบันฯ ในบางคำพูด บางประเด็น ซึ่งเชื่อว่าน่าจะเป็นเอกสารเท็จ ไม่ใช่เอกสารที่เป็นข้อเท็จจริง

เปิดคลิปสั่งการ "ชายหัวเกรียน" ตอบโต้เพจปิยบุตร

ก่อนหน้านี้ เพื่อนร่วมพรรคอย่างนายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม. ขึ้นอภิปรายโจมตี พล.อ. ประยุทธ์ ในประเด็น "นำสถาบันเป็นข้ออ้างเพื่อแบ่งแยกประชาชน" เปิดแผนของขบวนการปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร (ไอโอ) ภาคสอง โดยนำคลิปการประชุมผ่านระบบออนไลน์ของหน่วยทหาร 2 หน่วยมาเปิดกลางสภา

หน่วยแรก เขาอ้างว่าเป็นมณฑลทหารบกที่ 21 (มทบ.21) ปรากฏเสียงของชายคนหนึ่งสั่งการให้ "ชายหัวเกรียน" หลายคนที่ร่วมประชุมผ่านแอปพลิเคชัน "ติดตามเพจตรงข้าม" พร้อมไล่เรียงรายชื่อมาหลายเพจ และให้ "ไปพิมพ์ตอบโต้" เพจของนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า

อีกหน่วย เขาไม่ได้ระบุชื่อ แต่บอกว่าเป็นการประชุมเมื่อ 17 ก.พ. 2563 หรือ 4 วันก่อนศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคอนาคตใหม่ มีเสียงชายคนหนึ่งระบุว่า "ช่วงนี้ศาลรัฐธรรมนูญพิพากษายุบพรรคอนาคตใหม่ อาจมีหลายเหตุการณ์โจมตีทหารมากขึ้น ขอให้ช่วยกันประชาสัมพันธ์" และยังกล่าวเตือนด้วยว่า "อย่าให้เอกสารหน่วยท่านหลุด โดยเฉพาะเรื่องการเงิน บางทีคนข้างนอกอาจไม่พอใจ"

tnp

ที่มาของภาพ, Thai news pix

คำบรรยายภาพ,

นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ระบุว่าประชาชน "จับโป๊ะ" ไอโอได้ เพราะนายทหารผู้สั่งการสะกดภาษาไทยผิด จากคำว่า "ม็อบ" เป็น "ม๊อบ"

นายณัฐชาตั้งคำถามว่า "เหตุใดจึงรู้ล่วงหน้าได้" กรณียุบพรรค และความกังวลใจเรื่องเอกสารจะหลุดแสดงว่า "ปฏิบัติการนี้ใช้งบประมาณแผ่นดิน เอาเงินภาษีของประชาชนทำงานด่าทอด้อยค่าประชาชนหรือไม่"

ส.ส. พรรคก้าวไกล หรือพรรคอนาคตใหม่เดิมเคยเปิดโปง "ขบวนการไอโอ" มาแล้วหนหนึ่งในระหว่างเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ เมื่อ ก.พ. 2563 มาวันนี้นักการเมืองจากพรรคเดียวกันได้นำเอกสารที่ใช้ชื่อว่า "เอกสารประกอบการบรรยายของกองทัพบก" มาอธิบายวิธีการทำงานของเหล่าไอโอ

เปิดชื่อ พันโท กับ พลตรี สั่งการไอโอ

นายณัฐชาระบุว่า มีการเปิดอบรมผ่านหลักสูตรของ "โรงเรียนจิตอาสาพระราชทาน" แบ่งกลไกการทำงานเป็น "ฝ่ายขาว" ซึ่งเขาตีความว่ารับหน้าที่ประชาสัมพันธ์สถาบันฯ และ "ฝ่ายดำ" มุ่งโจมตีด้อยค่าฝ่ายตรงข้ามด้วยข้อหาไม่จงรักภักดี ส่วนการควบคุมสั่งการ บุคคลระดับ "แกนนำ" จะใช้แอปพลิเคชันที่ให้เอกชนจัดทำขึ้นคือ ทวิตเตอร์ บรอดแคสต์ (Twitter Broadcast) และ ฟรี แมสเซ็นเจอร์ (Free Messenger) ขณะที่บุคคลระดับสนับสนุนใช้แอปฯ ไลน์กลุ่มตามเดิม ก่อนไปเปิดปฏิบัติการ "ปั่นแท็ก" ในทวิตเตอร์

นักการเมืองรายนี้อ้างว่า ในเอกสารดังกล่าวระบุถึงชื่อ 4 หน่วยงานที่ใช้ 2 แอปฯ นี้ได้แก่ ร.2.รอ., ร.11.รอ., ร.21.รอ. และ ป.2.รอ. และมีการตั้งเป้าหมายยอดบัญชีไอโอกว่า 54,800 บัญชี ภายใต้การควบคุมดูแลจาก 19 หน่วยงานสังกัดกองทัพ

"การทวีตข้อความซ้ำ ๆ เป็นพัน ๆ ข้อความ ได้สร้างกระแสปลอม ๆ ขึ้นมาในทวิตเตอร์ ซึ่งถือเป็นการทำผิดกฎองค์กรระดับโลกอย่างทวิตเตอร์ ๆ เลยนิ่งเฉยไม่ได้ สั่งระงับบัญชีไป 926 บัญชี โดยระบุชัดว่าพบปฏิบัติการไอโอที่เกี่ยวข้องกับกองทัพบก ต่อมาในเดือน พ.ย. 2563 ก็สั่งแบนบัญชี "โรงเรียนจิตอาสาพระราชทาน" ด้วยข้อหาเป็นสแปม ทวีตข้อความซ้ำ ๆ มากเกินไป" นายณัฐชา กล่าว

ฝ่ายค้านยังเปิดเผยตัวจริงของขบวนการไอโอในนาม "โรงเรียนจิตอาสาพระราชทาน" โดยผู้ใช้บัญชีทวิตเตอร์ว่า "เฮียตือ สนามเป้า" คือ "พันโท ธ." และยังนำหลักฐานการสั่งการ "หลังบ้าน" ของ "พลตรี จ." ให้ไอโอในเครือข่ายไปตอบโต้ม็อบ และตอบโต้นักวิชาการที่ลี้ภัยในต่างประเทศรายหนึ่ง

นอกจากขบวนการไอโอ ส.ส. รายนี้ยังพาดพิงอีก 2 หน่วยราชการที่อยู่ในการกำกับดูแลของสำนักนายกรัฐมนตรีคือ กรมประชาสัมพันธ์ และศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี (PMOC)

tnp

ที่มาของภาพ, Thai news pix

คำบรรยายภาพ,

นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล เปิดฉากอภิปราย "ทลายขบวนการปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร (ไอโอ) ภาคสอง"

"พล.อ. ประยุทธ์ไม่ใช่แค่เรื่องใช้ภาษีประชาชน ใช้หน่วยงานรัฐโดยไม่เกิดประโยชน์ แต่ยังใช้อำนาจในฐานะนายกฯ สร้างความเกลียดชังแตกแยกในหมู่ประชาชน โดยใช้สถาบันฯ เป็นเครื่องมือ การกระทำของ พล.อ.ประยุทธ์ นอกจากจะตอกลิ่มให้สังคมร้าวลึกแล้ว ยังทำให้บทบาทและสถานะของสถาบันฯ ถูกตั้งคำถาม จึงไม่อาจไว้วางใจ พล.อ. ประยุทธ์ต่อไปได้" นายณัฐชากล่าว

ในระหว่างการอภิปรายของ ส.ส.ฝ่ายค้านรายนี้ มี ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นำโดย น.ส. ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี ได้ลุกขึ้นประท้วงตัดจังหวะเป็นระยะ ๆ โดยอ้างว่าเป็นการเสียดสี ใส่ร้าย แต่นายณัฐชาไม่ได้ให้ความสำคัญโดยบอกว่า "เป็นเพียงคลื่นแทรก"

รมช.กลาโหม อ้างแค่ฝึกปฏิบัติ-ให้เท่าทันเทคโนโลยี

หลังฟังจบ พล.อ. ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม ในฐานะได้รับมอบจากเจ้ากระทรวงลุกขึ้นชี้แจงทันควัน โดยยืนยันว่า รมว.กลาโหมไม่มีนโยบาย หรือมีการสั่งการให้หน่วยต่าง ๆ โดยเฉพาะหน่วยของกองทัพไปให้ร้ายบุคคล หรือให้ประชาชนเกิดความเกลียดชังแตกแยกกัน สิ่งต่าง ๆ ที่ทำคือให้ประชาชนได้รับทราบผลงานและสิ่งที่ถูกต้องเพื่อความสงบเรียบร้อย ไม่เกิดความเกลียดชังกันในสังคม

tnp

ที่มาของภาพ, Thai news pix

จากนั้น รมช.กลาโหมได้ตอบคำถามของ ส.ส. พรรคก้าวไกล ไว้ดังนี้

  • ทหารให้ร้ายประชาชน: "ทหารก็คือประชาชน เวลาทหารแต่งเครื่องแบบอยู่ในหน่วย เมื่อกลับบ้านก็คือประชาชน" พร้อมย้ำว่าที่กองทัพทำคือทำอย่างไรให้ทหารเข้าใจการพัฒนาเทคโนโลยี ติดตามสื่ออย่างเท่าทัน มีสติ มีการพิจารณาถูกต้องว่าข้อความในโซเชียลเป็นจริงหรือไม่ จะโพสต์หรือส่งต่อต้องใช้วิจารณญาณเพราะว่ามีผลกระทบ
  • การจัดอบรมกำลังพล: เป็นการอบรมให้ความรู้เพื่อใช้สื่อโซเชียลอย่างมีประสิทธิภาพและสร้างสรรค์ "บัญชีก็เปิดเผยชัดเจน ไม่ได้ปิด ถ้าปิด ท่านก็คงไม่มีรายชื่อ ดังนั้นไม่ได้จะทำเพื่อให้ร้ายใคร ท่านโยงไปโยงมาเหมือนมีประสบการณ์ มีความชำนาญในการทำมากกว่ากองทัพเสียเอง"
  • ฝ่ายขาว-ฝ่ายดำ-ฝ่ายตรงข้าม: "เป็นลักษณะของการฝึกปฏิบัติการ เป็นการทำให้ทหารเข้าใจว่าวิธีการคืออะไร ไม่ได้หมายความว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นประชาชนทั่วไป"
  • โครงการจิตอาสา: มีการแสดงตัวตนที่ชัดเจน และย้ำความประสงค์ว่าคือการประชาสัมพันธ์ประวัติศาสตร์ของสถาบันฯ และการดำเนินการเกี่ยวกับการพัฒนา
  • วิดิทัศน์การประชุม: "ผมเพิ่งเห็น และก็ไม่ทราบว่าเกิดขึ้นอย่างไร แต่ที่สำคัญคือเราจะทำอย่างไรให้สังคมอยู่ร่วมกันได้..."