ประชุมสภา : ปิยบุตร ชี้นายกฯ เป็น “โรคไม่แยแสรัฐธรรมนูญ” ส่วน วิษณุ ย้ำ “การถวายสัตย์ปฏิญาณเป็นเรื่องระหว่างรัฐบาล-กษัตริย์”
- Author, หทัยกาญจน์ ตรีสุวรรณ
- Role, ผู้สื่อข่าวบีบีซีไทย
การเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ จากปมปัญหาหลักว่าด้วยการถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ด้วยถ้อยคำไม่ครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 161 ยุติลงในเวลา 8 ชั่วโมงเศษ แม้ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว. กลาโหม ลุกขึ้นชี้แจงกลางสภาราว 20 นาที แต่กลับไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้สักคำ ทั้งที่มีคำถามเรื่องการถวายสัตย์จากฝ่ายค้านรวม 16 ข้อ
นายปิยบุตร แสงกนกกุล ส.ส. บัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) หนึ่งในผู้อภิปรายหลักของฝ่ายค้าน ได้ซักถามข้อเท็จจริง 4 ข้อในระหว่างการประชุมสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 25 สมัยสามัญ ครั้งที่ 24 ซึ่งเป็นนัดสุดท้ายของสมัยประชุมนี้ เพื่อพิจารณาวาระสำคัญเพียงเรื่องเดียวคือ ญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงและเสนอแนะปัญหาต่อ ครม.
นายปิยบุตรตั้งคำถามต่อ พล.อ. ประยุทธ์ 3 ข้อ และถามนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย 2 ข้อ
แม้ พล.อ. ประยุทธ์ ขอใช้สิทธิชี้แจงหลังร่วมฟังการอภิปรายนาน 6 ชั่วโมง แต่กลับเลือกพูดเฉพาะกรณีการแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภาโดยไม่ได้ชี้แจงแหล่งที่มาของรายได้ โดยกล่าวว่า "ยังชี้แจงไม่ได้ว่ามีรายได้มาจากที่ไหน ขอให้ไปรอดูตอนจัดทำงบประมาณปี 2563 จึงจะรู้" ก่อนร่ายยาวถึงการรักษาวินัยทางการเงินการคลังของรัฐบาลตามกฎหมาย 2 ฉบับ และบอกฝ่ายค้าน "ให้ไปเรียนรู้หน่อย แล้วค่อยมาพูด"
ไม่มีเนื้อหานี้
ดูเพิ่มเติมที่ Facebookบีบีซี. บีบีซีไม่มีส่วนรับผิดชอบต่อเนื้อหาของเว็บไซต์ภายนอก. นโยบายของเราเรื่องการเชื่อมต่อไปยังลิงก์ภายนอก.สิ้นสุด Facebook โพสต์
ขณะที่นายวิษณุเป็นตัวแทนหนึ่งเดียวของรัฐบาลที่ตอบข้อซักถามของฝ่ายค้านในกรณีถวายสัตย์ ซึ่งเขาบอกว่านับคำถามได้ 16 ข้อ แต่ขอตอบคำถามแบบรวม ๆ
บีบีซีไทยสรุปสาระสำคัญของคำถามจากนายปิยบุตร และนำคำตอบจากนายวิษณุมาเทียบเคียงไว้ ดังนี้
- นายกฯ ได้อ่านคำถวายสัตย์จากกระดาษแข็งที่หยิบออกมาจากกระเป๋าเสื้อของตัวเอง กระดาษแข็งนี้เตรียมมาเองใช่หรือไม่, นายกฯ ได้เขียนข้อความการถวายสัตย์ใหม่ที่ไม่ตรงกับรัฐธรรมนูญลงไปใช่หรือไม่, เหตุใดจึงไม่อ่านจากกระดาษแข็งในแฟ้มสีน้ำเงินที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) เตรียมมาให้ ?
นายวิษณุกล่าวยืนยันว่า ในการกล่าวคำถวายสัตย์ นายกฯ ได้ล้วงหยิบเอาบัตรแข็งออกมาจากกระเป๋า ซึ่งเป็นวิธีปฏิบัติเหมือนกับนายกฯ ทุกคนที่ผ่านมาในอดีต เป็นบัตรแข็งที่ สลค. ได้จัดเตรียมให้... หยิบหน้าแรกคืออ่านคำเบิกตัวซึ่งคนอื่นไม่ต้องอ่านตาม หยิบหน้าที่สองคือคำถวายสัตย์ปฏิญาณ นายกฯ อ่าน แล้ว ครม. ทุกคนก็กล่าวตามทีละท่อน ๆ จนกระทั่งจบตามที่นายกฯ กล่าว
"ผมจะไม่กราบเรียนว่าถ้อยคำที่ท่านนายกฯ อ่าน แล้วผมกล่าวตามมีว่าอย่างไร และผมก็ไม่ทราบว่าเบื้องหน้าเบื้องหลังของการอ่านไปตามนั้นและแค่นั้น เป็นเพราะเหตุใด แต่ตรงนี้จะอธิบายด้วยคำกลาง ๆ รวม ๆ เพียงประโยคเดียวเท่านั้นที่ไม่อาจจะขยายความต่อไปได้อีกคือ การถวายสัตย์ปฏิญาณนั้นเป็นเรื่องระหว่างรัฐบาลกับพระมหากษัตริย์" นายวิษณุกล่าว
รองนายกฯ ได้ยกเอกสาร 2 ชิ้นมายืนยันว่าเขาไม่ได้พูดประโยคนี้ขึ้นมาเอง
เอกสารแรก หนังสือบันทึกเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญในแต่ละมาตรา จัดทำโดยคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ซึ่ง กรธ. ระบุถึงมาตรา 161 ไว้ว่าการถวายสัตย์ปฏิญาณเป็นการยืนยันต่อองค์ผู้ใช้อำนาจอธิปไตย เพื่อยืนยันและเพื่อให้เกิดความไว้วางใจในตัวผู้กล่าวคำปฏิญาณนั้น "ใครเป็นคนไว้วางใจ พระมหากษัตริย์ ไว้วางใจในตัวใคร ผู้ถวายสัตย์ปฏิญาณในที่นี้ก็คือ ครม. ผมจึงเรียนว่ารัฐบาลอาจจะผิด ผมอาจจะผิด นายกฯ อาจจะผิด แต่เราเข้าใจตามที่ กรธ. ได้กำหนดไว้อย่างนั้น"
เอกสารที่สอง คำสั่งศาลรัฐธรรมนูญที่มีมติ "เอกฉันท์" เมื่อ 11 ก.ย. 2562 ไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย กรณีนายกรัฐมนตรีนำ ครม. กล่าวถวายสัตย์ไม่ครบถ้วน โดยให้เหตุผลว่า "เป็นการกระทำทางการเมืองของ ครม. ในฐานะที่เป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญฝ่ายบริหารในความสัมพันธ์เฉพาะกับพระมหากษัตริย์" ซึ่งเป็นการยืนยันเจตนารมณ์ของ กรธ. ในประเด็นการถวายสัตย์
- หากนายกฯ ต้องนำรัฐมนตรีคนใหม่เข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายสัตย์อีกครั้งหนึ่ง จะนำกล่าวถวายสัตย์ด้วยข้อความอย่างไร จะอ่านตามข้อความที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 161 หรืออ่านแบบที่อ่านในวันที่ 16 ก.ค. 2562 ?
นายวิษณุไม่ได้ตอบคำนี้โดยตรง แต่อธิบายผ่านความแตกต่างระหว่างคำว่า "ถวายสัตย์ปฏิญาณ" กับ "ปฏิญาณตน"
- การถวายสัตย์ปฏิญาณ ทำที่ไหนก็ได้ แต่สิ่งสำคัญคือต้องมี "ผู้รับการถวายสัตย์" คือพระมหากษัตริย์ และ "ผู้ถวายสัตย์" ซึ่งมีบุคคล 4 ประเภท ได้แก่ องคมนตรี, รัฐมนตรี, ผู้พิพากษา, ตุลาการ
- การปฏิญาณตน ต้องทำในที่ประชุมสภา โดยมีผู้ปฏิญาณตน 3 ประเภท ได้แก่ ผู้สำเร็จราชการ, ส.ส., ส.ว.
"การถวายสัตย์จะกระทำหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ไม่ได้ ต่อผู้แทนพระองค์ก็ไม่ได้ เพราะเหตุว่าต้องทำต่อพระมหากษัตริย์ จึงต้องเอ่ยนามผู้พูด ข้าพเจ้านาย/นาง/นางสาว... คือมีผู้ถวายและผู้รับการถวาย ไม่เหมือน ส.ส. ส.ว. และผู้สำเร็จราชการซึ่งไม่ต้องมีผู้รับ เมื่อไม่ต้องมีผู้รับ ผมจึงอดคิดไม่ได้ว่าไม่มีใครมีสิทธิจะเปลี่ยนแปลงถ้อยคำนั้น ใครจะไปอนุญาตท่านล่ะ แต่การถวายสัตย์มีผู้ถวายและมีผู้รับการถวาย ดังนั้นเมื่อมีการถวายสัตย์ปฏิญาณเสร็จ ก็จะจบลงด้วยการมีพระราชดำรัสตอบทุกครั้งไป" นายวิษณุกล่าว
มือกฎหมายรัฐบาลซึ่งถูกสื่อมวลชนตั้งฉายา "เนติบริกร" ระบุว่า มาตรา 161 ระบุชัดเจนว่าเป็นการถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ "เมื่อถวายแล้ว และมีกระแสว่าให้ไปปฏิบัติหน้าที่ ครม. รับกระแสพระราชดำรัสใส่เกล้าฯ ไม่ต้องตีความครับ แต่ถือว่านี่คือพระบรมราชานุญาต และได้ปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ถ้าวันนี้ยังถวายสัตย์ไม่ครบ พอดีพอร้าย คสช. ก็ยังอยู่ มาตรา 44 ยังอยู่ รัฐบาลเก่ายังอยู่ รัฐบาลใหม่เป็นโมฆะ แต่มันไม่ใช่อย่างนั้น"
นายวิษณุกล่าวต่อไปว่า หลังจากวันที่ 16 ก.ค. รัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา และนายกฯ คนนี้ก็ได้สวมชุดครุยไปกล่าวถวายพระพรชัยมงคล, ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการสถาปนาพระราชอิสริยยศเจ้านายหลายองค์, เสนอกฎหมายเข้าสภาในนามรัฐบาล 2 ฉบับซี่งผ่านสภา ผ่านวุฒิสภา และทรงลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้เป็นกฎหมายแล้ว
- หากนายกฯ และ ครม. คนต่อ ๆ ไป มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณ แล้วกล่าวถ้อยคำไม่ครบถ้วน นายกฯ และรองนายกฯ เห็นว่าทำได้หรือไม่ ?
นายวิษณุไม่ได้ตอบคำถามนี้โดยตรง
- ในฐานะที่นายวิษณุทำงานกับรัฐบาลมา 11 ชุด ภายใต้นายกฯ 8 คน เคยเห็นนายกฯ คนใดทำแบบ พล.อ. ประยุทธ์หรือไม่ และเห็นว่าทำได้หรือไม่อย่างไรตามรัฐธรรมนูญ ?
นายวิษณุไม่ได้ตอบคำถามนี้โดยตรง แต่ไปพูดถึงการอภิปรายของ ส.ส. ฝ่ายค้านหลายคนที่วิตกว่าเมื่อไม่ถูกต้อง จะมีเหตุโมฆะตามมามากมาย "ท่านอย่าฝันร้ายเลยนะครับ เพราะจะไม่เกิดอย่างที่ท่านพูด" เพราะศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งไม่รับคำร้อง และบอกว่าการถวายสัตย์ของ ครม. ไม่อยู่ในอำนาจการตรวจสอบขององค์กรตามรัฐธรรมนูญใด ซึ่งแปลว่า "แม้แต่ศาลก็ไม่อาจตรวจสอบได้ ก็ชี้ไม่ได้ว่าถูกหรือผิด และก็ไม่ชี้ด้วย สภาก็เป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญครับ ศาลรัฐธรรมนูญเคยบอกไว้แล้ว"
รองนายกฯ กล่าวทิ้งท้ายว่า รัฐบาลมีหน้าที่เดียวเท่านั้นคือก้มหน้าก้มตาปฏิบัติงานไปด้วยกำลังใจและความมุ่งมั่นจะปฏิบัติเพื่อให้เป็นไปตามคำถวายสัตย์ ตามพระบรมราโชวาทและพรที่พระราชทานลงมา
ภายหลังนายวิษณุชี้แจงจบ นายปิยบุตรได้ตั้งคำถามเพิ่มอีกข้อว่า ถ้าเป็นเรื่องการถวายสัตย์ปฏิญาณของบุคคล 4 คณะ ต่อให้กล่าวถ้อยคำไม่ครบตามรัฐธรรมนูญ แต่ถ้าพระมหากษัตริย์มีพระราชดำรัสรับ ก็ถือว่าเป็นการถวายสัตย์ที่ครบถ้วนแล้วใช่หรือไม่ ทว่านายวิษณุไม่ได้ตอบคำถามนี้
นายปิยบุตรคือนักการเมืองคนแรกที่ออกมาเปิดประเด็นถวายสัตย์ไม่ครบถ้วน โดยได้ตั้งข้อสังเกตกลางสภาเมื่อ 25 ก.ค. 2562 ในระหว่างการแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา วันนี้เขาประกาศว่า "พร้อมรับผิดชอบ" ในฐานะผู้เปิดประเด็นนี้ แต่ไม่แน่ใจว่า พล.อ. ประยุทธ์ กล้ารับผิดชอบในการกระทำของตัวเองหรือไม่ พร้อมยืนยันด้วยว่า "ไม่มีหนอนบ่อนไส้ในรัฐบาล" ส่งข้อมูลให้อภิปราย แต่ส่วนตัวเป็นคนชอบติดตามข่าวในพระราชสำนัก โดยเฉพาะเวลามีบุคคลไปเข้าเฝ้าฯ เพราะต้องการรับทราบกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ชี้ 3 ความสำคัญของการถวายสัตย์
ในฐานะอดีต รศ.ดร. ด้านกฎหมายมหาชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายปิยบุตรได้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการถวายสัตย์ไว้หลายประการ
หนึ่ง เป็นเงื่อนไขบังคับก่อนเข้ารับหน้าที่
สอง เป็นการยืนยันหลักความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ ซึ่งในการถวายสัตย์ปฏิญาณขององค์กรตามรัฐธรรมนูญกำหนดให้ใช้ถ้อยคำเหมือนกันโดยมีใจความตอนหนึ่งว่า "ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ" ซึ่งการกำหนดให้มีถ้อยคำสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ปรากฏครั้งแรกในรัฐธรรมนูญปี 2492 จากนั้นรัฐธรรมนูญทุกฉบับก็เขียนล้อมาแบบเดียวกัน
นายปิยบุตรยังหยิบยกเอกสารประกอบการร่างรัฐธรรมนูญปี 2492 มาเล่าให้สภาฟังว่า เคยมีผู้ถามว่าทำไมต้องกำหนดถ้อยคำถวายสัตย์ ซึ่งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว 2 คนอธิบายไว้ดังนี้
- พระยาอรรรถการีย์นิพนธ์ ระบุว่า ต้องการให้สม่ำเสมอสอดคล้องต้องกัน ไม่ใช่คนนี้พูดอย่าง อีกคนพูดอีกอย่าง
- หลวงประกอบนิติสาร ระบุว่า หากไม่เขียนให้ชัดเจน เดี๋ยวคำถวายสัตย์จะเปลี่ยนไปตามอารมณ์ของผู้เป็นสมาชิกสภาส่วนมาก ไม่สม่ำเสมอ ไม่เหมือนกัน ซึ่งรัฐธรรมนูญของหลายประเทศที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐก็ได้บัญญัติให้มีการถวายสัตย์เช่นเดียวกัน อีกทั้งเพื่อให้ผู้ถวายสัตย์ได้รู้ตัวล่วงหน้าว่าจะให้คำสัตย์ว่าอย่างไรและมีปัญญาจะทำตามได้หรือไม่ ถ้าทำไม่ได้ เห็นว่าคำปฏิญาณฝ่าฝืนจิตใจก็อย่ามาเป็น
"ครม. จะได้รู้ล่วงหน้าว่าจะกล่าวคำถวายสัตย์ต่อพระมหากษัตริย์ว่าอะไร ถ้ารู้ว่าชีวิตนี้เคารพรัฐธรรมนูญไม่ได้ ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญไม่ได้ อีกไม่กี่เดือนจะฉีกรัฐธรรมนูญ ละเมิดรัฐธรรมนูญอีก คนนั้นก็อย่ามาเป็นรัฐมนตรี จะได้ไม่ต้องถวายสัตย์" นายปิยบุตรกล่าว
สาม เป็นการให้คำสัตย์ต่อพระมหากษัตริย์และประชาชน ซึ่งรัฐธรรมนูญไทยเกือบทุกฉบับ ส่วนใหญ่อยู่ในมาตรา 3 เขียนว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา ครม. และศาล ซึ่งนายปิยบุตรชี้ว่าเป็น "ศิลปะในการเขียนรัฐธรรมนูญของไทยที่แยบคายที่สุด" คือหลอมรวมเอาสิ่งสำคัญที่สุดคือพระมหากษัตริย์กับประชาชนเข้ามาไว้ด้วยกัน โดยให้พระมหากษัตริย์ใช้อำนาจอธิปไตยแทนประชาชน และประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย และกลายเป็นอัตลักษณ์รัฐธรรมนูญไทย ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
ขุด 5 คลิปถวายสัตย์ "ประยุทธ์ 1" เทียบ "ประยุทธ์ 2" พบนายกฯ อ่านเป๊ะทุกครั้ง
นายปิยบุตรยังไปสืบค้นคลิปวิดีโอข่าวในพระราชสำนัก ในโอกาสที่ พล.อ. ประยุทธ์ นำ ครม. ในรัฐบาล "ประยุทธ์ 1" เข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายสัตย์รวม 5 ครั้ง พบว่า นายกฯ นำกล่าวถวายสัตย์ครบถ้วน 4 ครั้งแรก โดยกล่าวตามถ้อยคำในรัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 2557 และครั้งที่ 5 กล่าวตามถ้อยคำในรัฐธรรมนูญปี 2560 พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าใน 5 ครั้งนี้ พล.อ. ประยุทธ์ ได้อ่านถ้อยคำถวายสัตย์จาก "บัตรแข็งที่เสียบไว้ในแฟ้มสีน้ำเงินซึ่งสำนักเลขาธิการ ครม. จัดเตรียมไว้ให้" แต่ในการนำ ครม. "ประยุทธ์ 2" เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณตนเมื่อ 16 ก.ค. 2562 ซึ่งกล่าวถ้อยคำไม่ครบถ้วน นายกฯ ไม่ได้ใช้เอกสารบัตรแข็งของ สลค. แต่ปรากฏภาพว่าหยิบกระดาษจากกระเป๋าด้านข้างเสื้อขึ้นมาอ่าน
หนังสือ "หลังม่านการเมือง" เขียนโดยนายวิษณุ ผู้รับใช้นายกฯ มา 8 คน 11 รัฐบาล เกือบ 2 ทศวรรษ ในฐานะรองเลขาธิการ ครม., เลขาธิการ ครม. และรองนายกฯ ถูกนายปิยบุตรหยิบยกขึ้นมาอ่านเพื่อยืนยันข้อเท็จจริงว่า สลค. ต้องจัดเตรียม "บัตรแข็งเสียบไว้ในแฟ้มสีน้ำเงิน" เพื่อให้นายกฯ ถืออ่านตอนถวายสัตย์
อัดเป็น "โรคไม่แยแสรัฐธรรมนูญ-โรคไม่รับผิดชอบ"
เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ยังวิจารณ์ว่า การนำกล่าวถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบถ้วน และไม่มีการแก้ไขให้ถูกต้อง สะท้อนให้เห็นว่านายกฯ เป็น "โรค" 2 โรค
โรคแรกคือ "โรคไม่แยแสรัฐธรรมนูญ" เป็นสิ่งที่ประชาชนมีสิทธิเคลือบแคลงสงสัยว่านายกฯ ไม่เห็นความสำคัญของรัฐธรรมนูญ และมองรัฐธรรมนูญเป็นเพียง "เครื่องมือในการปกครองตามระบอบที่ท่านต้องการ" ถ้าเรื่องใดอ้างแล้วได้ประโยชน์ก็อ้างรัฐธรรมนูญ แต่เรื่องใดถูกตีกรอบก็ไม่อ้าง จนสื่อสังคมออนไลน์ตั้งฉายาว่า "บิดาแห่งข้อยกเว้น"
"จริงอยู่ที่ท่านเป็นนายกฯ ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ แต่ก่อนหน้านี้สังคมก็รู้ว่าท่านรัฐประหารปี 2557 ฉีกรัฐธรรมนูญ ตั้งตนเป็นรัฏฐาธิปัตย์ ท่านยังทำอะไรอีกหลายอย่างที่ไม่แยแสรัฐธรรมนูญ พฤติกรรมของท่านแสดงให้เห็นว่าท่านมองรัฐธรรมนูญเป็นแหล่งที่มาอำนาจของท่าน วันนี้ท่านพอใจ ท่านก็ใช้มัน ถ้าท่านไม่พอใจ เข้ามามีอำนาจไม่ได้ตามรัฐธรรมนูญปี 2550 ท่านก็ฉีก และไปออกแบบรัฐธรรมนูญปี 2560 แต่ก็ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ได้"
อีกโรคคือ "โรคไม่รับผิดชอบขาดความเป็นผู้นำ" หลังประเด็นนี้ถูกเปิดเผย นายกฯ ออกมายอมรับว่าถวายสัตย์ไม่ครบจริง แต่ยังไม่เคยแสดงความรับผิดชอบใด ๆ
นายปิยบุตรหยิบยกตำราวิชา "กฎหมายรัฐธรรมนูญ" เขียนโดยนายวิษณุเมื่อปี 2530 มาพูดถึง โดยนายวิษณุระบุถึง "พระราชอำนาจตามนิติโบราณราชประเพณี" ซึ่งมีอยู่ 3 ประการที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลคือ ทรงให้คำปรึกษาหารือในทางลับ พระราชทานกำลังใจ และทรงตักเตือน แต่เมื่อพระมหากษัตริย์พระราชทานคำแนะนำหรือข้อพระราชดำริอย่างไรแก่รัฐบาล เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องรับใส่เกล้าฯ แต่การตัดสินใจขั้นสุดท้ายเป็นผลของฝ่ายบริหารโดยตรง ขณะที่นายหยุด แสงอุทัย ปรมาจารย์ด้านกฎหมายผู้เป็นอาจารย์ของนายวิษณุ เคยทำบันทึกไว้ว่า ในเวลานี้ประเทศไทยยังมี ครม. ที่เอาพระมหากรุณาธิคุณที่พระมหากษัตริย์ใช้พระราชอำนาจ 3 ประการไปใช้ในทางที่ผิด ทั้งนำเอาพระราชดำรัสไปเผยแพร่ต่อสื่อมวลชน การทำเช่นนั้นอาจมีเจตนาดี หรือเห็นว่าเป็นการเชิดชูพระเกียรติ เป็นเกียรติที่ได้เข้าเฝ้าฯ ซึ่งไม่ถูกต้อง "คำแนะนำของพระมหากษัตริย์ต้องเป็นความลับ" และ "ถ้าจะนำไปปฏิบัติต้องปฏิบัติด้วยความรับผิดชอบของตนเอง จะอ้างพระมหากษัตริย์ไม่ได้"
เขาจึงตั้งคำถามว่า หลังกรณีถวายสัตย์ไม่ครบถูกเปิดเผย แล้วนายวิษณุออกมาบอกว่า "แล้ววันหนึ่งจะรู้เองว่าทำไมไม่ควรพูด" หมายถึงอะไร และไม่ทราบว่าเหตุใดรัฐบาลถึงจัดพิธีรับพระราชทานพระราชดำรัสที่ทำเนียบฯ แต่สังคมมีสิทธิตั้งคำถามว่า "ท่านทำผิดตามรัฐธรรมนูญแล้วไม่แสดงความรับผิดชอบใด ๆ เลยแต่เลือกใช้วิธีนี้ นี่คือข้อเท็จจริงที่แสดงให้เห็นชัดแจ้งว่าท่านขาดภาวะผู้นำและไม่รับผิดชอบ"
ฝ่ายค้านรุมจี้นายกฯ ลาออก
ข้อเสนอแนะจากนายปิยบุตรคือ เรียกร้องให้นายวิษณุ "กลับมาเป็นนายวิษณุคนเดิม ยุติการให้ความเห็นและช่วยเหลือทางกฎหมายแก่นายกฯ และกลับมาเป็นปูชนียบุคคลในวงการนิติศาสตร์ ออกจากเรือแป๊ะมาอยู่ในเรือแห่งความยุติธรรม" และเรียกร้องให้ พล.อ. ประยุทธ์ ลาออกจากตำแหน่ง
นายปิยบุตรไม่ใช่นักการเมืองฝ่ายค้านเพียงคนเดียวที่อภิปรายเรียกร้องให้นายกฯ ลาออก เพราะทั้งเลขาธิการพรรคเพื่อไทย, หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย, หัวหน้าพรรคประชาชาติ, หัวหน้าพรรคพลังปวงชนไทย ฯลฯ ต่างเรียกร้องในแบบเดียวกัน
ส.ส. รัฐบาลดึงเวลา ยกคำสั่งศาล รธน. อ้างห้ามอภิปราย
ก่อนหน้านี้เมื่อช่วงเช้า สภาต้องเสียเวลาไป 20 นาที เมื่อ ส.ส. สังกัดพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ขอหารือว่าสภาไม่มีอำนาจในการพิจารณาญัตตินี้ เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญมีมติ "เอกฉันท์" ไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยกรณีถวายสัตย์ไม่ครบถ้วน แต่นายชวน หลีกภัย ประธานสภา ชี้แจงว่า สภาได้พิจารณาเรื่องนี้โดยหารือกับฝ่ายกฎหมายและรองประธานสภา ก่อนมีมติเป็น "เอกฉันท์" ว่าญัตตินี้ไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญจะมีผลผูกพันทุกองค์กรก็ต่อเมื่อมี "คำวินิจฉัย" ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 211 วรรคท้าย แต่กรณีนี้เป็น "คำสั่ง" และ "ความเห็นประกอบ" สภาจึงมีอำนาจพิจารณาญัตติต่อไปได้
การประชุมนัดส่งท้ายนี้ปิดในเวลา 18.20 น. มี ส.ส. ฝ่ายค้านได้ลุกขึ้นอภิปรายซักถาม 17 คน ส.ส. รัฐบาลอภิปรายสนับสนุนรัฐบาล 1 คน และ ครม. ลุกขึ้นชี้แจง 2 คน รวมเวลา 8 ชั่วโมงเศษ ทั้งนี้ถือว่า "ศึกซักฟอกย่อย" จบเร็วจากที่ประธานวิปฝ่ายค้านคาดการณ์ไว้ว่าจะอภิปรายไปจนถึงเวลา 24.00 น. เนื่องจากนายกฯ และรัฐมนตรีบางส่วน ต้องเข้าร่วมพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนกและเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี ณ พระลานพระราชวังดุสิต ในเวลา 18.00 น. ตามที่ในหลวง ร. 10 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดขึ้น