พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์: 7 ประเด็นวางรากฐานกองทัพมั่นคง
ผบ.ทบ. คนที่ 41 ย้ำจุดยืนปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงดำรงตำแหน่งเป็นองค์จอมทัพไทย และชี้ด้วยว่า อีก 2 ปีข้างหน้า กองทัพบกจะเข้มแข็งและแข็งแกร่งขึ้น
คำให้สัมภาษณ์และกล่าวในวันแรกต่อหน้าสื่อและหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก พล.อ. อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก ถือเป็นภาพสะท้อนให้เห็นว่าในอีก 2 ปีข้างหน้า กองทัพบกจะมีความเข้มแข็งและแข็งแกร่งอย่างไร
สาระสำคัญในถ้อยแถลง แฝงเร้นด้วยความหมาย ความขึงขัง ไม่ว่าจะเป็นแนวในทางการทำงานโดยยึด พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นต้นแบบ การช่วยเหลือคณะกรรมการการเลือกตั้งในการให้ความรู้ประชาชน และเหนือสิ่งอื่นใด คือการย้ำจุดยืนปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงดำรงตำแหน่งเป็นองค์จอมทัพไทย
1)ในหลวงร. 10 คือจอมทัพไทย คนหมิ่นสถาบันส่วนใหญ่ไม่สมประกอบ
สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนมากที่สุดในการทำหน้าที่ผู้นำกองทัพบกคือ การออกมาย้ำจุดยืนในการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงดำรงตำแหน่งเป็นองค์จอมทัพไทย ซึ่งบางครั้งยังมีทหารบางคนยังลืม และเขาจะเตือนสติพวกเขาเหล่านั้น ว่าผู้บังคับบัญชาสูงสุดคือองค์พระมหากษัตริย์ เนื่องจากพระองค์ท่านทรงดำรงพระอิสริยยศและดำรงตำแหน่งเป็นจอมทัพไทย ซึ่งเป็นสิ่งที่เหนือกว่าสิ่งอื่นใด ในส่วนของกองทัพบกถือเป็นข้ารองบาทมีหน้าที่และหัวใจปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักยิ่งและเป็นศูนย์รวมจิตใจ โดยกองทัพบกจะใช้ศักยภาพและขีดความสามารถทุกอย่างในการปกป้องสถาบัน
ส่วนประเด็นเกี่ยวข้องกับการหมิ่นสถาบันนั้น พล.อ. อภิรัชต์ ให้ความเห็นว่า "คนที่หมิ่นสถาบันส่วนใหญ่เป็นคนที่จิตไม่ปกติ ส่วนคนที่จิตปกติแต่มีความคิดแปลก ๆ แต่ก็อยู่ไม่ได้อยู่เมืองไทย มีการหนีไปอยู่ต่างประเทศ เพราะอยู่เมืองไทยไม่ได้ ในเมื่อเราอยู่ภายใต้พระบรมโพธิสมภารตั้งแต่รุ่นปู่รุ่นย่า ทำไมไม่สำนึกถึงบุญคุณแผ่นดินเกิด ไม่มีใครเขาไม่รักแผ่นดินเกิด รัฐบาลผลัดเปลี่ยนไปแต่องค์พระมหากษัตริย์ต้องอยู่คู่ฟ้าคู่แผ่นดินไทยไปตลอด นี่คือหน้าที่ของกองทัพบก และผมจะปกป้องสถาบันด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมมี"
นอกจากนี้ ผบ.ทบ. ยังยกตัวอย่างกรณีเร็ว ๆ นี้ ที่มีการไปยื่นถวายฎีกา แต่เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นผู้ป่วยทางจิต และเจ้าหน้าที่ได้นำตัวส่ง รพ. ศรีธัญญาเรียบร้อยแล้ว
2)ยึด "ประยุทธ์" เป็นต้นแบบการทำงาน
พล.อ. อภิรัชต์ ยอมรับว่า มีความคุ้นเคยกับ พล.อ. ประยุทธ์ แต่ไม่มีเรื่องส่วนตัวมาเกี่ยวข้อง เพราะที่ผ่านมา พล.อ. ประยุทธ์ได้ใช้เขาทำงานมาโดยตลอด ราวหนึ่งเดือนจะได้เจอกันเพียง 5 ถึง 10 นาทีก็ถือว่าเต็มที่แล้ว
"ในชีวิตนี้เคยนั่งคุยกับท่านไม่เกิน 1 ชั่วโมง แต่ได้เห็นความรัก ความรู้ ความทุ่มเทในการทำงานของท่าน ซึ่งเป็นแบบอย่างหนึ่งของผมในการดำเนินงานด้านราชการ และถ้าวันนั้น พล.อ. ประยุทธ์ ไม่ตัดสินใจบ้านเมืองจะเกิดอะไรขึ้น ผมว่าการตัดสินใจไม่ได้อยู่ที่ พล.อ. ประยุทธ์ แต่อยู่ที่ประชาชน " ผบ.ทบ.กล่าว
3)กองทัพต้องสวมหมวก 2 ใบ คือ กองทัพ-คสช.
เขากล่าวอีกว่าจากนี้ไปกองทัพจะต้องถูกจับตาและจับจ้องจากนักการเมือง พร้อมกับยอมรับว่าทหารขาดประสบการณ์เรื่องการเมือง เพราะอาชีพทหาร ต้องอยู่ในกรม กอง โอกาสพบกับประชาชนมีน้อยมาก นอกจากออกไปช่วยเหลือประชาชนเมื่อเดือดร้อนและประสบภัยต่าง ๆ เพราะฉะนั้นวิสัยทัศน์ที่จะไปเผชิญกับโลกภายนอกวิถีทางการเมืองลำบาก
จากแนวคิดดังกล่าว พล.อ. อภิรักษ์ บอกว่า ได้ให้แนวทางแก่กองทัพ โดยเฉพาะ กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (กกล.รส.) เนื่องจากสวมหมวก 2 ใบ คือ ในฐานะกองทัพบกและในฐานะที่เป็น คสช. การเดินต่อไปนี้ต้องระมัดระวัง ไม่ให้การเมืองเข้ามาใช้ประโยชน์จากการช่วยเหลือประชาชน เขายังได้ยืนยันว่า กองทัพช่วยเหลือประชาชนมิใช่ต้องการหาเสียง
4)วางตัวเป็นกลาง
ในทัศนะความเป็นกลางของ ผบ.ทบ. นั้น เขามองว่า ความเป็นกลางขึ้นอยู่กับคนมอง แต่ขอให้มั่นใจว่า กองทัพเป็นกลางและอยู่เคียงข้างประชาชนจะดำเนินการทุกอย่างให้ประชาชน อยู่ดีกินดี ช่วยเหลือประชาชนทุกโอกาส
"จากนี้ไปถูกจับตามองแน่เพราะกองทัพและคสช. ก็คือเนื้อเดียวกัน ขณะนี้รัฐบาลก็คือรัฐบาลของ พล.อ. ประยุทธ์ แต่ยืนยันว่าไม่ว่าใครมาเป็นรัฐบาลเราก็ต้องทำ ผมก็ต้องทำ ไม่ว่าใคร พรรคการเมืองใดมาเป็นรัฐบาล ไม่ต้องห่วง ผมยืนยันและจุดยืนในการทำงานของผมในการกำหนดทิศทาง ๆ ให้กำลังพลในกองทัพบก ได้ดำเนินการ ผมทำงานร้อยเปอร์เซ็นต์และเกินร้อยอยู่แล้ว ไม่ว่าใครมาเป็นนายผม" ผบ.ทบ. กล่าว
5)กองทัพพร้อมหนุน กกต. ให้ความรู้ประชาชน
พล.อ. อภิรัชต์ บอกอีกว่า การให้ความรู้กับประชาชน ถือเป็นเรื่องสำคัญเพราะระบบการเลือกตั้งในครั้งใหม่นี้เป็นระบบกาเบอร์เดียว และถามว่าเป็นหน้าที่ของกองทัพหรือไม่นั้น หากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอความร่วมมือให้ช่วยเหลือมา กองทัพก็พร้อมให้การสนับสนุนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในทุกด้าน ตั้งแต่การรักษาความปลอดภัย หรือการให้ความรู้กับประชาชน
6)ไม่ปฏิวัติ หากการเมืองไม่มีจลาจล
ในช่วงหนึ่งของการตอบคำถามของสื่อมวลชน เมื่อเจอกับคำถามที่ว่า "สถานการณ์ในอนาคตเกิดวิกฤติกองทัพจะปฏิวัติอีกหรือไม่" โดยผู้สื่อข่าวยกกรณี พล.อ.ประยุทธ์ ในช่วงเป็น ผบ.ทบ. ที่ยืนยันมาตลอดไม่ปฏิวัติ แต่ก็ท้ายสุดก็ทำการปฏิวัติ ผบ.ทบ. คนใหม่ก็นิ่งไปพักหนึ่งก่อนที่จะให้คำตอบว่า "ผมมั่นใจว่า ถ้าการเมืองไม่เป็นต้นเหตุแห่งการจลาจล ก็ไม่มีอะไร ประเทศไทยเคยมีปฏิวัติมา 10 กว่าครั้ง แต่ไม่เหมือนสมัยก่อนแล้ว เพราะช่วงหลังเกิดจากการเมืองทั้งสิ้น ผมไม่ได้บอกว่านักการเมืองดีหรือไม่ดี แต่เชื่อว่า นักการเมืองที่ดีก็มี และนักการเมืองที่ไม่ดีก็มี แต่ปัจจุบันคนไทยเป็นอย่างไร.."
พล.อ. อภิรัชต์ กล่าวอีกว่า เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย สื่อได้มีการบันทึกภาพในทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อย่าให้เป็นเพียงแต่ภาพที่เกิดขึ้น ให้บันทึกอยู่ในสมองในความทรงจำ เช่นเดียวกับคนไทยทุกคนที่เคยเห็นภาพต่าง ๆ ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อบ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย ทำอะไรก็ลำบาก ค้าขายก็ลำบาก ถนนถูกบล็อก คนไทยออกมาตีกัน ยิงกัน ฆ่ากัน วันนั้น ทหารยืนอยู่ตรงไหน ทหารถูกรัฐบาลสั่งการให้ออกมาควบคุมความสงบเรียบร้อย ก็ทำด้วยหัวใจที่ไม่ได้คิดแบบนักการเมืองว่าเราจะเข้ามาบริหารประเทศ
7)การแก้ปัญหาชายแดนใต้ต้องแยกแยะเหตุการณ์
ประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจคือ การแก้ไขปัญหาในจังหวัดชายแดนใต้ พล.อ. อภิรัชต์ นอกจากจะลงไปในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ในช่วงปลายเดือนนี้ เพื่อมอบนโยบายการทำงานอย่างเป็นทางการแล้ว ยังได้กล่าวกับหน่วยงานปฏิบัติไปแล้วว่า ให้แยกแยะคดีความให้ออก เพราะหากมองย้อนไปเมื่อ 20 ปีที่ผ่านมาก็มีเหตุการณ์ปล้น และฆ่ากันเหมือนกับที่ กทม. แต่ขอให้แยกแยะว่าเหตุการณ์ใดเป็นก่อการร้าย หรือเหตุการณ์ไหนเป็นเรื่องส่วนตัว หรือเป็นการปล้นฆ่า
"การทำสถิติของเหตุการณ์มีความสำคัญอย่างยิ่ง ที่สำคัญผมจะเข้มงวดกำลังพลให้มากกว่านี้ และได้เชิญ พล.ท. พรศักดิ์ พูลสวัสดิ์ แม่ทัพภาคที่ 4 มาประชุมเพื่อมอบนโยบาย และผมจะลงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย เพราะตั้งใจไว้แล้วว่าจะทำตามพล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท องคมนตรี ซึ่งเป็นอดีตผบ.ทบ. ได้เคยดำเนินการไว้ เช่น การไปค้างคืนในพื้นที่เป็นเวลา 1-2 คืน เดือนละครั้งและจะทำเช่นนี้ให้ได้" พล.อ.อภิรัชต์ กล่าว