เศรษฐกิจไทย : นายกฯบอกปีนี้โตได้ 3.3-3.8% แต่ภาคเอกชนมองโคโรนาและ งบฯล่าช้า จะทำให้โตต่ำกว่า 2.5%
เศรษฐกิจไทยปี 2563 จะเป็นอย่างไร เมื่อกำลังถูกท้าทายด้วยปัจจัยเชิงลบหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการเบิกจ่ายงบประมาณล่าช้า ส่งผลต่อการลงทุนภาครัฐ ในขณะที่ภาคการส่งออกและท่องเที่ยวที่คาดว่าจะดีขึ้น แต่ต้องเผชิญกับการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในจีน ซึ่งถือเป็นคู่ค้าและกลุ่มเป้าหมายหลักทางการท่องเที่ยวของไทย
สัญญาณเชิงลบทั้งหลายเผยตัวขึ้นเมื่อย่างเข้าสู่ปีหนูมาเพียง 1 เดือน ไม่ว่าจะเป็น ร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ที่มีแนวโน้มเบิกจ่ายล่าช้าหลังจากกรณีที่ ส.ส. เสียบบัตรแทนกันจนนำมาสู่การยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่าร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
ล่าสุด การระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในเมืองอู่ฮั่น ในมณฑลหูเป่ย์ของจีนที่คร่าชีวิตคนไปแล้วอย่างน้อย 100 คนและมีผู้ติดเชื้อเกือบ 3,000 คนทั้งในจีนและในประเทศอื่น ๆ ก็กลายเป็นปัจจัยกดดันทั้งภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวที่รัฐบาลไทยคาดหวังว่าจะเป็นสิ่งที่ช่วยผลักดันเศรษฐกิจ ท่ามกลางสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน
สำนักวิจัยทางเศรษฐกิจหลายสำนักต่างออกมาคาดการณ์จากผลพวงจากเหตุการณ์ดังกล่าวว่า อาจจะซ้ำเติมภาวะเศรษฐกิจที่กำลังถดถอยเลวร้ายลงไปอีก
นางสาวเกวลิน หวังพิชญสุข ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด บอกกับบีบีซีไทยว่า เบื้องต้นศูนย์วิจัยได้ตั้งกรอบขยายตัวทางเศรษฐกิจของปีนี้ (จีดีพี) ราว 2.5-3% โดยค่ากลางอยู่ที่ 2.7% ซึ่งเธอบอกว่าเป็นการประมาณการ "แบบอนุรักษ์นิยมที่สุดแล้ว" โดยใช้ข้อมูลเมื่อเดือน ธ.ค. ที่ผ่านมา
"กรอบล่าง 2.5% เป็นการประมาณการจากข้อมูลเมื่อปลายปีที่แล้ว ซึ่งคำนวณจากความเป็นไปได้ที่งบประมาณปี 2563 จะล่าช้า โดยมีการเบิกจ่ายภายในไตรมาสแรกของปีนี้ แต่ยังไม่รวมถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น หลังจากที่ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 มีแนวโน้มล่าช้าเนื่องจากมีกรณีการเสียบบัตรแทนของ ส.ส." น.ส.เกวลินกล่าว
อย่างไรก็ตาม เธอเห็นว่าต้องรอการประเมินอีกครั้งหากว่า ศาลรัฐธรรมนูญรับวินิจฉัยคำร้องดังกล่าว ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อการเบิกจ่ายเงินงบประมาณประจำปีนี้ให้ล่าช้าออกไปอีก
"มีความเป็นไปได้ที่ อัตราการขยายตัวของจีดีพีของไทยในปีนี้จะหลุดกรอบล่าง 2.5%" เธอกล่าว
ทั้งนี้ การเบิกจ่ายงบประมาณล่าช้าออกไป จะส่งผลกระทบต่อกิจกรรมและการลงทุนภาครัฐและโครงการที่ทำร่วมกับภาคเอกชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งในมุมมองของ รศ.ดร. สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการอิสระ กล่าวกับบีบีซีไทยเมื่อช่วงปลายปีที่แล้วบอกว่า สิ่งที่เป็นตัวขับเคลื่อนการลงทุนในปีนี้มีเพียงปัจจัยเดียว คือ "การลงทุนของภาครัฐ"
เชื้อไวรัสโคโรนา ปัจจัยเสี่ยงตัวใหม่
นักวิจัยจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินอีกว่า จากเดิมที่คาดว่าภาคการท่องเที่ยวจะขยายตัว และเป็นปัจจัยเกื้อหนุนการเติบโตเศรษฐกิจในปีนี้ แต่เมื่อมีการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ อาจจะส่งผลกระทบต่อภาพรวมของเศรษฐกิจ ศูนย์วิจัย ฯ จึงประเมินสถานการณ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นไว้ 2 กรณี
- กรณีแรก หากสถานการณ์การระบาดสามารถควบคุมและจัดการภายในเวลาหนึ่งเดือน ผลกระทบที่เกิดขึ้นอาจจะอยู่ภายใต้กรอบที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ คือจำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนในปีนี้จะเติบโตเพียง 1% หรือเดินทางมาประเทศไทยราว 11.1 ล้านคน
- กรณีที่สอง หากสถานการณ์ยืดเยื้อ 1-3 เดือนก็มีโอกาสที่นักท่องเที่ยวจีนจะหดตัวลงราว 0.5 - 2% มาอยู่ที่ราว 10.94-10.77 ล้านคน ซึ่งอาจจะส่งผลต่อรายได้นักท่องเที่ยวจากจีน ซึ่งถือเป็นตลาดสำคัญของไทย นอกจากนักท่องเที่ยวจากอินโดนีเซียและในอาเซียน
ด้านนายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย แถลงข่าวเมื่อวานนี้ (27 ม.ค.) โดยประเมินผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา ที่กำลังระบาดในประเทศจีนว่า จะกระทบต่อรายได้ของธุรกิจสายการบิน การท่องเที่ยว โรงแรม รีสอร์ต และการจำหน่ายสินค้าต่าง ๆ ให้นักท่องเที่ยว หายไปเดือนละ 50,000 ล้านบาท และหากสถานการณ์ยืดเยื้อออกไป 2 เดือน ก็จะกระทบเศรษฐกิจไทย 100,000 ล้านบาท ซึ่งจะมีผลกระทบอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยในปี 2563 ให้ลดลง 0.7%
บทความนี้ประกอบด้วยเนื้อหาจาก Google YouTube เราขอความยินยอมจากคุณก่อนใช้คุกกี้ หรือเทคโนโลยีอื่น ๆ บันทึกอะไรลงไป คุณอาจต้องอ่านนโยบายคุกกี้ของ Google YouTube และนโยบายความเป็นส่วนตัวของ Google YouTube ก่อนให้ความยินยอม หากต้องการอ่านเนื้อหานี้ โปรดเลือก "ยินยอมและไปต่อ"
สิ้นสุด YouTube โพสต์, 1
ผลกระทบที่เห็นได้ชัดเจนต่อภาคการลงทุนคือ การซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อวานนี้ (27 ม.ค.) ซึ่งสำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่าการซื้อขายปรับตัวลดลงกว่า 3% ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2559 โดยหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยวคือกลุ่มที่ได้รับผลกระทบหลังจากที่มีรายงานข่าวการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในจีนและหลายประเทศรวมทั้งประเทศไทย
ส่งออกยังไม่สดใส
ผู้บริหารศูนย์วิจัยกสิกรไทย ให้มุมมองไม่แตกต่างจากกับรายงานวิเคราะห์ของศูนย์ไออีซี ของธนาคารไทยพาณิชย์ เมื่อพิจารณาภาคการส่งออกในปีนี้ ก็ยังคงมีปัจจัยหลายอย่างกดดันและยังมีความเสี่ยง แม้ว่าสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนจะดูเหมือนผ่อนคลายลงหลังจากการลงนามข้อตกลงทางการค้าระยะแรก (Phase-1 Deal) ระหว่างจีนและสหรัฐฯ รวมทั้ง มีความชัดเจนของการออกจากสหภาพยุโรปของอังกฤษ หรือ เบร็กซิท
น.ส.เกวลินระบุว่า หากพิจารณาถึงรายละเอียดของการเก็บภาษีสินค้าหลัก ๆ ระหว่างสหรัฐฯ และจีน ก็ยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนักจึงยังคงเป็นปัจจัยกดดันบรรยากาศเศรษฐกิจโลกต่อไป
ขณะที่ ศูนย์ไออีซี ของธนาคารไทยพาณิชย์ คาดการณ์ว่า การส่งออกจะขยายตัวได้เพียงเล็กน้อยคือ 0.2% โดยอิงจากการคาดการณ์ของ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และ รายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลก (WEO) ในเดือน ม.ค. นี้ พบว่าเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าของไทย เช่น จีน สหรัฐฯ สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น มีทิศทางขยายใกล้เคียงกับของไทย หรือชะลอตัวลง ค่าเงินบาทก็ยังมีแนวโน้มแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะมีผลต่อความสามารถในการแข่งขันราคาของสินค้าส่งออกบางกลุ่ม
อย่างไรก็ตาม น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ กลับมองว่า สถานการณ์การส่งออกปีนี้จะดีขึ้นกว่าปีที่แล้ว ในขณะที่ตัวเลขการส่งออกเดือน ธ.ค. ที่ผ่านมาติดลบน้อยลง มาอยู่ที่ ติดลบ 1.28% ด้วยมูลค่า 19,145 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นบทสะท้อนให้เห็นว่าสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนลดความรุนแรงลง
สำหรับภาพรวมการส่งออกในปี 2562 ยังคงติดลบ 2.7% มีมูลค่า 246,245 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ประยุทธ์ มั่นใจเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวปีนี้ โต 3.3-3.8%
พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวระหว่างเป็นประธานเปิดสำนักงานใหม่ของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) อย่างเป็นทางการเมื่อวานนี้ (27 ม.ค.) ว่า แนวโน้มเศรษฐกิจปีนี้ น่าจะดีขึ้นกว่าปี 2562 ตามแนวโน้มการปรับตัวของเศรษฐกิจโลก รวมทั้งการปรับตัวในทิศทางการค้าและการลงทุน การลดมาตรการกีดกันทางการค้า รวมทั้งแรงขับเคลื่อนของการท่องเที่ยว แต่ก็ต้องยอมรับว่าการท่องเที่ยวอาจจะมีปัญหาบ้าง เนื่องจากมีปัญหาโรคระบาดเกิดขึ้น
ในช่วงหนึ่งของคำกล่าวของ นายกฯ กล่าวถึงการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจในปี 2563 ว่าจะขยายตัวขึ้น 3.3 - 3.8%
"ขอร้องทุกคนให้ลงทุนในประเทศ อย่าไปรอลงทุนภายในต่างประเทศอย่างเดียว ให้ลงทุนในประเทศของเราด้วย วันนี้รัฐบาลพยายามหามาตรการต่างๆ เพื่อให้สิทธิประโยชน์ ซึ่งหลายคนไม่เข้าใจ โดยเฉพาะผู้บริโภค และต้องดูในเรื่องของราคาสินค้าไม่ให้สูงเกินความเป็นจริง ช่วงนี้ค่าเงินบาทแข็ง สินค้านำเข้าต้นทุนจะถูกลง จึงควรใช้เวลานี้ในการปรับปรุงเครื่องจักร และผลิตนวัตกรรมใหม่ ถ้ามัวแต่พัฒนาของเดิม ลงทุนแบบเดิมๆ จะไม่เกิดประโยชน์ในอนาคต" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว