โคโรนา : ความตื่นกลัวเรื่องไวรัสโควิด-19 ในอังกฤษ ทำคนไทยอย่างน้อย 2 คน ถูกข่มเหง ทำร้าย

ภวัต ศิลวัตกุล

ที่มาของภาพ, Pawat Silawattakun

คำบรรยายภาพ, ภวัตอาศัยอยู่ในอังกฤษมาตั้งแต่อายุ 13 ปี
  • Author, อิสสริยา พรายทองแย้ม
  • Role, บีบีซีไทย

แม้ยอดผู้ติดเชื้อโคโรนาไวรัส หรือ ชื่อใหม่ไวรัสโควิด-19 นอกประเทศจีน ไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างฮวบฮาบหลังการระบาดเกือบ 2 เดือน แต่กระแสความตื่นกลัวในสหราชอาณาจักรก็เป็นไปอย่างกว้าง จนกลายเป็นเหตุมาใช้ ข่มเหงรังแก (bullying) คนไทย และคนเอเชียตะวันออกอีกหลายเชื้อชาติ

ในรอบ 2 สัปดาห์ ที่ผ่านมา มีคนไทย 2 คน ที่ออกมาเปิดเผยเรื่องราวการถูกคุกคามและทำร้ายร่างกายโดยใช้การระบาดของโคโรนาไวรัสเป็นข้ออ้าง บีบีซีไทย คุยกับ 1 ใน 2 คนไทยที่เผชิญกับเหตุร้ายที่ไม่มีใครอยากเผชิญ

ภวัต ศิลวัตกุล มาเรียนที่อังกฤษตั้งแต่อายุ 13 ปี จนจบการศึกษาด้านวิศวะเคมีจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ และทำงานในกรุงลอนดอน เพิ่งตกเป็นเหยื่อการถูกเหยียดเชื้อชาติและตั้งป้อมรังเกียจ แต่ยิ่งไปกว่านั้นเขาถูกชิงทรัพย์และทำร้ายร่างกายด้วย

ชายหนุ่มไทยวัย 24 ปี อาศัยอยู่ในย่านฟูแลม ใกล้สนามฟุตบอลเชลซี ที่ปัจจุบันถือว่าเป็นย่านที่พักราคาแพงของกรุงลอนดอน แต่เมื่อหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา ภวัต ถูกนักเรียนอายุราว 15 ปี สองคน ทำร้ายร่างกายจนจมูกหักและฉกเอาหูฟังที่อยู่บนคอของเขาไปขณะเดินกลับจากสถานีจอดรถประจำทางเพื่อข้ามถนนกลับบ้าน

"ผมใส่หูฟังอยู่ แต่ก็ได้ยินเสียงตะโกนว่าโคโรนาไวรัส โคโรนาไวรัส รัว ๆ หลายครั้ง พอหันไปก็เห็นเด็กนักเรียนสองคนถ่ายวิดีโอผมอยู่ และตะโกนใส่ผม แล้วอยู่ ๆ หนึ่งในนั้นก็วิ่งมากระชากเอาเฮดโฟนไป แล้วยังหันมาล้อเลียนผมอีก"

ภวัตพูดดีๆ ขอให้เด็กนักเรียนที่รูปร่างเล็กกว่าเขา คืนหูฟังให้และเดินไปหา แต่เด็กทั้งสองคนเดินถอยออกไปและเริ่มวิ่ง เขาจึงวิ่งตาม

"พอวิ่งไปเกือบร้อยเมตร เขาวิ่งข้ามถนนไป แล้วก็หันมาชกใส่ตรงสะพานจมูกของแว่นตา จนผมเลือดออกและจมูกหัก แว่นหลุดลงไปอยู่บนพื้น ผมตะโกนขอความช่วยเหลือแต่ไม่มีใครช่วย คนคงกลัว และไม่อยากยุ่ง เพราะสถานการณ์มันดูสับสน" ภวัตบอกบีบีซีไทย

โคโรนา

ที่มาของภาพ, Getty Images

ในสหราชอาณาจักรนั้นไม่เพียงแต่ชาวจีนเท่านั้นที่พบว่าเป็นผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 แต่ชายชาวอังกฤษเองที่เดินทางกลับจากสิงคโปร์ ติดเชื้อและแพร่กระจายไปยังคนอื่น ๆ อีกถึง 11 คน แต่ดูเหมือนเหตุการณ์ทำนองนี้จะยังเกิดอยู่เฉพาะหมู่ชาวเอเชียตะวันออกเท่านั้น

"ผมไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อน ตอนแรกผมคิดว่าอาจเป็นเทคนิคของเขาจะล่อลวง แล้วเอาหูฟังไป แต่มีข้อสังเกตสองอย่าง คือว่าเขาถ่ายวิดีโอล้อเลียน และเมื่อเอาของไปแล้วยังไม่วิ่งไปเลย มันสื่อได้ว่า ไม่ใช่แค่เทคนิคอย่างเดียว แต่เพราะเขาตั้งใจทำ เพราะคิดว่ามีลักษณะที่ดูอ่อนแอ" ภวัต บอก

หลังเกิดเหตุนี้เมื่อราวนี้สัปดาห์ที่ผ่านมา ภวัตโพสต์รายละเอียดลงทางเฟซบุ๊ก และได้รับความเห็นตอบกลับจากคนจำนวนมาก ทั้งคนไทย จีน และเกาหลี ที่ต่างแลกเปลี่ยนประสบการณ์ บางคนถูกถ่มน้ำลายใส่ ปาหิน และปาไข่ใส่ เหตุการณ์เกิดขึ้นทั้งในและนอกกรุงลอนดอน ส่วนเพื่อนชาวอังกฤษหลายคนแสดงความเสียใจ และโกรธ "บางคนบอกว่าโกรธที่คนด้อยการศึกษาทำแบบนี้กับเรา"

ภวัต ศิลวัตกุล

ที่มาของภาพ, Pawat Silawattakun

คำบรรยายภาพ, หลังโดนทำร้ายภวัตจมูกหักและเบี้ยว ต้องได้รับการรักษาในโรงพยาบาล

ข้อความทางเฟซบุ๊กข้อความหนึ่งระบุว่า "ฉันเสียใจจริง ๆ ที่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับคุณ ฉันหวังว่าคุณได้รับความช่วยเหลือดูแลแล้ว ฉันภูมิใจมากที่คุณเปิดเผยเรื่องนี้และทำให้เราตระหนักว่าโลกทุกวันนี้เลวร้ายอย่างไร"

ภวัตไปแจ้งความและไปให้ปากคำกับตำรวจ แต่หลังจากแจ้งความแล้วเขายังต้องตามเรื่องเพื่อให้ได้ไปให้ปากคำกับตำรวจจริง ซึ่งเขาเห็นว่าหากผู้ประสบเหตุเป็นคนที่ไม่ถนัดพูดภาษาอังกฤษ หรือเป็นแค่นักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยว การจะทำขั้นตอนส่วนนี้ก็เป็นเรื่องที่ยากลำบากในการสื่อสาร

เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ ผู้ใช้เฟซบุ๊กที่ชื่อ Panrawee Rungskunroch ได้โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊กเล่าเหตุการณ์ที่เธอรู้สึกได้ถึงการเหยียดหยาม หลังจากเธอสวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองติดเชื้อที่เธอเชื่อว่าได้เข้ามาแพร่ในอังกฤษแล้ว

ไชน่าทาวน์
คำบรรยายภาพ, ไชน่าทาวน์ในกรุงลอนดอนเงียบเหงาลงกว่าเดิมมากนับตั้งแต่เกิดการระบาดของไวรัสโควิด-19

ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายนี้ยังขอให้ผู้อ่านให้คำแนะนำการรับมือกับเหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าวด้วย

สำหรับภวัตนั้น เขาอธิบายในเฟซบุ๊กว่า เปิดเผยเรื่องราวของตัวเองเพราะเห็นว่าการนิ่งเฉยจะยิ่งทำให้ยิ่งหมดหนทาง ขณะนี้เขาพยายามทำใจให้เข้มแข็งขึ้น เพื่อให้ก้าวผ่านเหตุร้ายนี้ไปได้

"ตอนนี้ผมพยายามเปลี่ยนความกลัวเป็นความโกรธ และค่อย ๆ ให้มันหายไป เพื่อให้เรามีความกล้าที่จะค่อย ๆ กลับไปใช้เส้นทางเดิมที่ต้องผ่านสถานที่เกิดเหตุ แต่ก็คงค่อยเป็นค่อยไป เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นเกิดในขณะที่ท้องฟ้ายังสว่าง ประมาณห้าโมงเย็น หากเวลานั้นไม่ปลอดภัยแล้ว เวลาใดจึงจะปลอดภัย"