1 ปีของครอบครัวตัญกาญจน์ กับ 4 คดีคืนความยุติธรรมให้น้องเมย
ครบ 1 ปีที่นายภคพงศ์ ตัญกาญจน์ หรือน้องเมย นักเรียนเตรียมทหารเสียชีวิตอย่างเป็นปริศนา และก่อให้เกิดความเคลือบแคลงขึ้นในสังคมต่อความโปร่งใสของคดีนี้ ครอบครัวตัญกาญจน์เปิดเผยถึง 4 คดีทั้งในชั้นศาลและขั้นพนักงานสอบสวนเพื่อธำรงความยุติธรรมแก่ผู้ที่เสียชีวิต
นายภคพงศ์ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2560 ที่โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า หลังถูกรุ่นพี่สั่ง "ธำรงวินัย" หลายวาระด้วยกัน เป็นเหตุให้ครอบครัวติดใจสงสัย แม้ว่าทางกองทัพจะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อสอบสวนหาสาเหตุและระบุว่าไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดสั่งลงโทษหรือทำร้าย อันเป็นเหตุให้เสียชีวิต
น.ส. สุพิชา ตัญกาญจน์ ผู้เป็นพี่สาวเปิดเผยกับบีบีซีไทยว่า ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา ทางครอบครัวได้ดำเนินการทางกฎหมายทั้งฟ้องร้องในขั้นศาล และกล่าวโทษบุคคลที่เชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวพันในเหตุการณ์เสียชีวิตของน้องชายในขั้นพนักงานสอบสวนรวม 4 คดีด้วยกัน จากเหตุการณ์ต่างกรรมต่างวาระกัน
คดีแรก คือ คดีทำร้ายร่างกายนายภคพงศ์ เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม โดยนักเรียนเตรียมทหารรุ่นพี่ที่สั่ง "ธำรงวินัย" จนเขาต้องเข้าโรงพยาบาล "คดีนี้มีจำเลย 1 คน เป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่นพี่ ซึ่งขณะนี้เป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจไปแล้ว คดีอยู่ในศาลทหาร มณฑลทหารบกที่ 12 ค่ายจักรพงษ์" น.ส. สุพิชากล่าว และบอกด้วยว่าคดีนี้ศาลจะตัดสินในวันที่ 26 ธันวาคมปีนี้
คดีที่ 2 นั้นเกี่ยวพันกับกรณี "ธำรงวินัย" โดยนักเรียนเตรียมทหารรุ่นพี่คนหนึ่งในวันที่ 30 สิงหาคม "ตอนนั้นน้องเมยยังมีใบสั่งแพทย์ให้ทุเลาการฝึกจากเหตุที่ถูกธำรงวินัยในวันที่ 23 สิงหาคมจนต้องเข้าโรงพยาบาล อย่างไรก็ตามเมื่อแพทย์ให้กลับไปโรงเรียนได้ ก็ถูกรุ่นพี่สั่งลงโทษอีก เขาเรียกว่า "การปล่อยม้า" ซึ่งเป็นการวิ่งเร็ว ๆ ไปจนกว่ารุ่นพี่จะบอกให้พอ" สุพิชากล่าว
คดีนี้ยังอยู่ในระหว่างชั้นพนักงานสอบสวนของสภ.บ้านนา จ.นครนายก
ส่วนคดีที่ 3 -4 เป็นคดีที่เกี่ยวเนื่องกับวันที่ 15-16-17 ตุลาคมปีที่แล้ว ก่อนหน้าที่นายภคพงศ์จะเสียชีวิต มีทั้งคดีทำร้ายร่างกายโดยนักเรียนเตรียมทหารรุ่นพี่ และคดีละเมิด 1 คดี ผู้ต้องหาคือเจ้าหน้าที่กองแพทย์ของโรงเรียนเตรียมทหาร 2 คนที่ทางครอบครัวเชื่อว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ "2 คดีนี้ยังรอความคืบหน้าจากทางตำรวจว่าจะส่งฟ้องหรือไม่" สุพิชากล่าวและเพิ่มเติมว่า "ทางตำรวจยังไม่ได้แจ้งความคืบหน้ากับครอบครัวว่าไปถึงไหนแล้ว"
ในขณะที่ พ.ต.อ. กสินธุ์ ธำรงศรีสุข ผกก. สภ.บ้านนา จ. นครนายก กล่าวกับบีบีซีไทยทางโทรศัพท์ว่าคดีทั้งสามกำลังอยู่ในระหว่างรวบรวมหลักฐานทางคดี ซึ่งกำลังจะเสร็จเรียบร้อยแล้ว "อยู่ในระหว่างรอคณะกรรมการจังหวัดที่ได้รับการแต่งตั้งมาช่วยกลั่นกรองให้เรียบร้อย เนื่องจากว่าพยานหลักฐานมีอยู่ในหลายหน่วยงาน และมีพยานเป็นจำนวน ก็คาดว่าน่าจะส่งให้อัยการศาลทหารได้ไม่เกินสิ้นเดือนนี้"
ผลสอบจากกองทัพไทย ไม่มีใครสั่งลงโทษ-ทำร้ายน้องเมย
ผลสอบของคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงการเสียชีวิตของนายภคพงษ์ ที่มี พล.อ.อ.ชวรัตน์ มารุ่งเรือง รองเสนาธิการทหาร เป็นประธาน ซึ่งมีการแถลงข่าวในวันที่ 15 ธันวาคมปีที่แล้วว่า การตายของนายภคพงศ์ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดสั่งลงโทษหรือทำร้าย อันเป็นเหตุให้เสียชีวิต
"ยืนยันจากผลทางการแพทย์ ว่าเป็นการเสียชีวิตของนักเรียนเตรียมทหาร ภคพงศ์มาจากหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน" พล.อ.อ.ชวรัตน์ กล่าว
นอกจากนี้เขายังระบุด้วยว่าก่อนเสียชีวิตนายภคพงศ์มีอาการคล้าย โรคหอบจากอารมณ์ (hyperventilation) ซึ่งพบบ่อยในนักเรียนเตรียมทหารช่วงหลัง คือมีอาการเกร็ง ชา หายใจถี่และเร็วมาก จนออกซิเจนในเลือดมีระดับเพิ่มมากขึ้น ทำให้หมดสติ สูญเสียการรู้สึก สาเหตุหลักมาจากความเครียด
ลำดับเหตุการณ์ก่อนเสียชีวิต
การเปิดเผยบทสัมภาษณ์กับนายพิเชษฐ ตัญกาญจน์ในหน้าเฟซบุ๊กของภัทราพร ตั๊นงาม ผู้สื่อข่าวไทยพีบีเอส มีข้อความว่าวันที่ 23 สิงหาคม ลูกชายของเขาต้องเข้าโรงพยาบาลโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า เมื่อเขาเข้าไปเยี่ยมในเช้าวันต่อมา ลูกชายบอกว่าเจ็บที่ศีรษะมาก เพราะรุ่นพี่สั่งให้ปักหัวลงพื้นห้องน้ำกลางดึก
ส่วนเหตุการณ์ในวันที่ 30 สิงหาคม น.ส. สุพิชาเล่าให้บีบีซีไทยฟังว่าน้องชายถูกสั่งซ่อมอีกครั้ง แม้ว่าจะมีใบสั่งแพทย์ให้ทุเลาจากการฝึก เพราะยังไม่ฟื้นตัวจากการธำรงวินัยเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม โดยการให้วิ่งเร็ว ๆ จนกว่ารุ่นพี่จะบอกให้พอ
คืนวันที่ 15 ต.ค. นักเรียนบังคับบัญชาปลุกนักเรียนมาธำรงวินัยหลังเที่ยงคืน โดยให้ออกกำลังกายใน "ห้องซาวน่า" ซึ่งเป็นห้องพักปกติ ขนาดประมาณ 8X8 เมตร
นายภคพงศ์และเพื่อนอีกสองคนแจ้งว่าป่วย จึงถูกแยกออกมาขณะที่เพื่อนคนอื่นถูกธำรงวินัย อย่างไรก็ตาม นายภคพงศ์และเพื่อนอีกสองคนถูกให้ยึดพื้นในท่าเตรียม คือ ยันแขนไว้กับพื้น
ซึ่งพล.อ.อ.ชวรัตน์กล่าวว่า ท่าที่ใช้ไม่น่าเป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการต่อเนื่อง และใช้เวลาราวหนึ่งชั่วโมงเศษ
ส่วนวันที่ 16 ต.ค. พล.อ.อ. ชวรัตน์ บอกว่า หลังจากธำรงวินัยเสร็จ นายภคพงศ์แสดงอาการไม่พอใจและไม่ยอมขอบคุณนักเรียนบังคับบัญชา ซึ่งถือว่าเป็นประเพณีการปฏิบัติของโรงเรียน นักเรียนบังคับบัญชาจึงสั่งให้นายภคพงศ์ทำการ "พุ่งหลัง" เป็นเวลา 1-2 นาที หลังจากนั้นนายภคพงศ์ฟุบลงไปและหายใจเร็วๆ ถี่ๆ คล้ายอาการโรคหอบจากอารมณ์
โดย รองเสนาธิการทหาร อธิบายเพิ่มเติมว่า ท่าพุ่งหลังเป็นท่าที่อนุญาตให้ใช้ในการธำรงวินัย และการทำเป็นเวลา 1-2 นาทีไม่น่าเป็นการปฏิบัติที่เกินกำลัง
จากเหตุการณ์นั้นทำให้มีการตัดคะแนนความประพฤตินักเรียนบังคับบัญชา 4 คนและปลดออกจากความเป็นนักเรียนบังคับบัญชา ซึ่งถือว่าเสื่อมเสียเกียรติเป็นอย่างมาก
อาการในวันที่เสียชีวิต
พล.อ.อ. ชวรัตน์ ระบุในการแถลงข่าวว่า วันที่นายภคพงศ์เสียชีวิต เขามีอาการคล้ายโรคหอบจากอารมณ์ แต่ก็ได้เข้ารับการรักษาในกองแพทย์จนอาการเป็นปกติ แต่บ่ายของวันนั้น นายภคพงศ์มีการใช้มือขวากุมอกด้านซ้ายในขณะเดิน เกือบ 4 โมงเย็นนายภคพงศ์ก็เซล้ม และมีอาการคล้ายโรคหอบจากอารมณ์อีกรอบ ทางโรงเรียนจึงนำไปส่งโรงพยาบาลนายร้อยพระจุลจอมเกล้า
จนท.รพ. ทำซีพีอาร์ต่อเนื่องเป็นเวลา 4 ชม. โดยใช้เจ้าหน้าที่เกือบ 20 คน จนกระทั่งเวลา 20:20 น. แพทย์ลงความเห็นว่าเสียชีวิต
ยังคงรอเอกสารเพื่อประกอบคดี
น.ส. สุพิชากล่าวกับบีบีซีไทยด้วยว่าขณะนี้ยังรอเอกสารและข้อมูลจากทางกองทัพไทย และทางโรงเรียนเตรียมทหาร เพื่อเอามาให้ทนายประกอบคดีความ
"เราต้องการรายชื่อของบุคคลที่อยู่กับน้องตอนเสียชีวิต อยากทราบว่ามีใครบ้าง เรียกมาในฐานะพยาน เป็นพวกภาพกล้องวงจรปิด ตารางเวรประจำวัน วันนั้น 15-16-17 ตุลาคม 60 ตอนแรกเรายื่นหนังสือไปที่กองทัพไทย และโรงเรียนเตรียมทหาร เพื่อจะขอเอกสารทั้งหมด เพื่อเอามาให้ทนาย แต่ไม่ได้รับมา" น.ส. สุพิชากล่าว
ดังนั้นครอบครัวตัญกาญจน์จึงได้ทำหนังสือร้องเรียนกับสำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ (สขร.) เพื่อให้ออกคำสั่งให้เปิดเผยข้อมูลดังกล่าว ซึ่งน.ส. สุพิชากล่าวว่าทางคณะกรรมการฯ ได้ออกคำสั่งเพื่อให้หน่วยงานทั้งสองเปิดเผยข้อมูลแล้ว เมื่อราวหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา "ตอนนี้เราก็รอให้หน่วยงานทั้งสองส่งเอกสารและข้อมูลที่ต้องการมาให้"
เมื่อบีบีซีไทยสอบถามไปยังโรงเรียนเตรียมทหารว่าได้รับคำสั่งนี้แล้วหรือยัง ทางโรงเรียนบอกว่าไม่สามารถที่จะให้คำตอบได้ ขณะที่ สขร. ยังไม่ได้ให้คำตอบแก่บีบีซีไทย
ในขณะที่ น.ส. สุพิชากล่าวกับบีบีซีไทยว่า "วันครบรอบ 1 ปีที่น้องเสีย ครอบครัวไปทำบุญให้เขา เราก็ไม่รู้จะทำอย่างไรได้แล้ว ทำหมดทุกอย่างแล้ว แต่เราหวังว่าให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมทั้งหมด"