อภิปรายไม่ไว้วางใจ : อนุทิน-วิโรจน์ จับ “โกหก” กันกลางสภาปมวัคซีนต้านโควิด-19 ขณะที่ “ทีมองครักษ์” พปชร. พาดพิง “พ่อ” ส.ส. ก้าวไกล

ในวันที่ 2 ของการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ฝ่ายค้านได้เปิดฉากซักฟอกรัฐบาลปมทำให้เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอก 2 นับจากวันที่ 17 ธ.ค. 2563 และปัญหาการจัดหาวัคซีนต้านไวรัสที่ทำให้ป่วยหนักจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ของไทย ซี่งเกิดการประท้วงวุ่นหลังฝ่ายค้านตั้งคำถามต่อการเลือกบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ เป็นผู้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีผลิตวัคซีนจากบริษัทแอสตร้าเซเนก้า โดยใช้ภาษีของประชาชน 600 ล้านบาท

พรรคอันดับสองของฝ่ายค้านอย่างพรรคก้าวไกล (ก.ก.) โดยนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ได้ล็อกเป้าถล่ม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม และนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข (สธ.) โดยชี้ให้เห็นความเสียหายทางเศรษฐกิจจากการจัดหาวัคซีนต้านโควิด-19 ที่ล่าช้า ซึ่งเขานำตัวเลขการคาดการณ์ของรัฐบาลมาคำนวณใหม่ พบว่าการฉีดวัคซีนที่ล่าช้า จะทำให้ประเทศเสียหาย 8,300 ล้านบาท หรือคิดเป็น 347 ล้านบาท/ชม. อีกทั้งยังไล่เรียงข้อมูลการจัดหาวัคซีนของไทยซึ่งเขาตั้งฉายาว่า "แผนกระจุกวัคซีนทำลายชาติ" มาชี้ให้เห็นถึงความบกพร่องในการบริหารจัดการของรัฐบาล

"วันนี้ต้องขออนุญาตใส่แมสก์ (หน้ากากอนามัย) 2 ชั้น เพราะอีกสักพักจะมี 'หนู' ตายคลุ้งสภา" นายวิโรจน์โหมโรงก่อนเข้าสู่เนื้อหาที่เตรียมมา

ส่วนบทส่งท้ายการอภิปรายของเขาคือ "คนคู่นี้แค่เดินเฉียดเงา ผมยังรู้สึกรังเกียจ แค่คิดว่าต้องหายใจเอาอากาศร่วมกับ 2 คนนี้ ก็รู้สึกขยะแขยง...จึงไม่อาจไว้วางใจให้ทำหน้าที่ต่อไปได้"

หลังฟังนักการเมืองขั้วตรงข้ามอภิปรายจนจบภายในเวลา 90 นาที นายอนุทิน ผู้มีชื่อเล่นว่า "หนู" ได้เอาคืนทันทีโดยกล่าวว่า สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล และคนที่เข้าคุณสมบัตินี้มาใช้สภาอันทรงเกียรตินี้กล่าวโกหกคำโตเพื่อให้เกิดความสับสนกับพี่น้องประชาชน จึงต้องขออนุญาตลุกขึ้นมาแก้เฉพาะในส่วนที่โกหก

"เขาเริ่มมาว่ามหากาพย์วัคซีน วันนี้จะชำแหละ รมว.สธ. เขาบอกว่า รมว.สธ. เป็นคนที่น่ารังเกียจ อยู่ใกล้ ๆ ก็ยังไม่อยากจะอยู่ด้วย เมื่อกี้เจอหน้าห้องน้ำ กราบแทบถึงอก ทำไมต้องมาว่ากันเรื่องนี้ เราไม่ได้เกลียดกัน ถ้าผมพูดบ้างว่าพอผมขึ้นมาบนนี้ ผมรีบเอาแอลกอฮอล์ฉีดเนคไทผม ท่านจะรู้สึกอย่างไร" นายอนุทินกรีดกลับ

อีกทั้งในช่วงท้ายของการชี้แจง รมว.สธ. ยังวกกลับมาระบุว่า "กลิ่นหนูตายเน่าพอ ๆ กับกลิ่นปากเหม็นไม่ต่างกัน แต่ผมเชื่อว่าผมยังทำประโยชน์ให้บ้านเมืองและประเทศได้มากกว่า เอาไว้ท่านมีโอกาสเข้ามาก่อน ค่อยมาพิสูจน์กัน"

บีบีซีไทยสรุป 5 ประเด็นสำคัญของคำอภิปรายนายวิโรจน์ และคำชี้แจงจากของนายอนุทิน มาไว้ ณ ที่นี้

1) ทำงานหวานเย็น หรือ คิดถึงแต่คำว่าวัคซีน

นายวิโรจน์เริ่มต้นด้วยการร่ายแผนการจัดหาวัคซีนของรัฐบาล พร้อมเปรียบเปรย พล.อ. ประยุทธ์ว่า "ทำงานหวานเย็น เช้าช้อนเย็นช้อน แถมยังเป็นช้อนกาแฟ ประชาชนจะเป็นจะตาย ไม่คิดสนใจ" ซึ่งเดิมเมื่อ พ.ย. 2563 กำหนดแผนการจัดหาวัคซีน 65 ล้านโดส ครอบคลุมประชากรครึ่งหนึ่งของประเทศ ภายในระยะเวลา 3 ปี (2564-2566) ก่อนปรับแผนใหม่เมื่อ 5 ม.ค. 2564 เร่งขึ้นมาเป็นสิ้นปี 2564 เพราะ "ประชาชนด่า" แต่ถึงกระนั้นในทางปฏิบัติก็ยังล่าช้า และแผนการกระจายวัคซีนก็ไม่ชัดเจน เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา พร้อมตั้งข้อสังเกตต่อคำให้สัมภาษณ์ของนายอนุทินเมื่อ 4 ก.พ. 2564 ที่บอกว่าจะฉีดวัคซีนได้เดือนละ 5 ล้านโดส แต่พอวันที่ 8 ก.พ. 2564 กลับบอกใหม่ว่าจะฉีดได้ 10 ล้านโดส ก่อนพูดเสียดสีนายอนุทินว่า "เป็นคนกลับกลอก เชื่อไม่ได้อยู่แล้ว" ทว่าประธานสภาได้สั่งให้เขาถอนคำว่า "กลับกลอก" ออกไป

นายอนุทินยืนยันว่า วัคซีนล็อตแรก 2 แสนโดส จะมาถึงไทยภายในเดือน ก.พ. และจะพยายามฉีดให้เร็วที่สุด จากนั้นภายในเดือน มี.ค. วัคซีนล็อตที่ 2 จะมาถึง 8 แสนโดส, เดือน เม.ย. 1 ล้านโดส และปลายเดือน พ.ค. หรือต้นเดือน มิ.ย. วัควีนที่ผลิตในไทยยี่ห้อแอสตร้าเซนเนก้า (AstraZeneca) ไม่ใช่สยามไบโอไซเอนซ์ จะทำการส่งและฉีดให้คนไทยครบถ้วน พร้อมย้ำด้วยว่าจะมีวัคซีน 63 ล้านโดส เพียงพอครอบคลุมกลุ่มเสี่ยง

เขายังตอบโต้ข้อกล่าวหา "ล่าช้าลอยชายกับเรื่องวัคซีน" โดยแจ้งให้ทราบว่า "ตั้งแต่คำว่าโควิดเข้ามาในสมอง คำต่อไปที่คิดคือคำว่าวัคซีน" นี่คือเหตุผลที่สถาบันวัคซีนแห่งชาติได้รับการสนับสนุนงบประมาณ 3 พันล้านบาทจากนายกฯ และคณะรัฐมนตรี (ครม.)

2) แจงซื้อวัคซีนซิโนฟาร์ม เพราะเป็นเจ้าเดียวที่ส่งได้ใน ก.พ.

นายวิโรจน์ตั้งคำถามต่อเกี่ยวกับการสั่งซื้อวัคซีนสัญชาติจีนตามมติ ครม. เมื่อ 5 ม.ค. 2564 ว่าเหตุใดรัฐบาลถึงนำเงินภาษี 1,228 ล้านบาท ไปสั่งซื้อวัคซีนจากซิโนแวค (Sinovac) ที่ปรากฏเป็นข่าวว่ามีนายทุนรายหนึ่งเข้าไปลงทุนด้วยเม็ดเงิน 1.54 หมื่นล้านบาท เพื่อถือหุ้น 15% แทนที่จะซื้อจากซิโนฟาร์ม (Sinopharm) ทั้งที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีเดียวกัน และบริษัทหลังได้รับการขึ้นทะเบียนตั้งแต่ 31 ธ.ค. 2563 มีผลการทดสอบเฟส 3 ในคนสูงถึง 79.34% ต่างจากซิโนแวคที่ยังไม่มีผลการทดสอบเฟส 3 ณ วันที่ ครม. มีมติเรื่องนี้

นายอนุทินชี้แจงว่า วัคซีนจากจีนไม่ได้อยู่ในโรดแม็ปของรัฐบาลเลย แต่ด้วยความสามารถของบุคลากรด้านสาธารณสุข ทำให้สามารถติดต่อบริษัทที่จีน เพื่อขอวัคซีนมารองรับสถานการณ์ฉุกเฉินก่อน

"เราต้องซื้อจากเจ้าที่ส่งให้เราได้ในเดือน ก.พ. เจ้าที่ท่านบอกมา ส่งให้เราไม่ได้ แม้แต่สัปดาห์ที่ผ่านมายังมี 2-3 บริษัทเข้ามาหาผม ทั้งที่เขารู้ว่าบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าจะส่งให้เราเดือน มิ.ย. แล้ว เขายังบอกว่าเร็วที่สุดที่เขาจะส่งได้คือไตรมาส 3 ซึ่งช่วงนั้นวัคซีนที่ผลิตในไทยอยู่เต็มโรงพยาบาลแล้ว" นายอนุทินกล่าว

3) ไทยตกขบวน COVAX

นายวิโรจน์แสดงความคลางแคลงใจกรณีที่ไทยไม่เข้าร่วม COVAX ทั้งที่ส่งหนังสือแสดงเจตนารมณ์เข้าร่วมตั้งแต่ 9 ก.ค. 2563 แต่ผ่านไปกว่า 2 เดือนเพิ่งมีมติให้แต่งตั้งคณะทำงานจัดทำข้อตกลงและเจรจาเพื่อจัดหาวัคซีนโควิด-19 กับ COVAX ต่อมานายอนุทินอ้างว่าที่ไทยไม่เข้าร่วมเพราะเป็นประเทศฐานะปานกลาง ทว่าประเทศมาเลเซียที่มีรายได้ต่อประชากรสูงกว่าไทยกลับเข้าร่วม เช่นเดียวกับประเทศร่ำรวยอย่างแคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สวีเดน นอร์เวย์ จีน สหรัฐฯ รวมแล้วมี 172 ประเทศ ไทยจึงเป็นประเทศเดียวในอาเซียนที่ตกขบวน COVAX

นักการเมืองฝีปากกล้าสังกัด ก.ก. เห็นว่า คำอธิบายที่พูดกันว่าหากไทยเข้าร่วม COVAX ต้องนำเงินไปจ่ายล่วงหน้า ถ้าวัคซีนไม่สำเร็จก็จะไม่ได้เงินคืน หรือถ้าจองวัคซีนกับ COVAX แล้ว จะเลือกวัคซีนไม่ได้ เป็นเพียง "ข้ออ้าง"

"อะไรทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ และนายอนุทิน ใจกล้าขนาดที่จะไม่ให้ประเทศไทยเข้าร่วม COVAX ยังไงก็จะพาคนไทยไปกระจุกความเสี่ยง รอการผลิตวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าจากบริษัทเอกชนที่เพิ่งได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยี และน่าจะไม่เคยผลิตวัคซีนมาก่อน" นายวิโรจน์กล่าว และย้ำว่านี่เป็นการกระทำที่เสี่ยงมาก

นายอนุทินยังไม่ได้ชี้แจงประเด็นนี้

4) ยังไม่ตอบปมแผนฉีดแอสตร้าเซนเนก้ากับผู้สูงอายุ

นักการเมืองพรรคฝ่ายค้านแสดงความคับข้องใจต่อการเลือกผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไปเป็นเป้าหมายในการฉีดวัคซีนให้กลุ่มแรก ทั้งที่ในประเทศเยอรมนี ฝรั่งเศส และสวีเดน ประกาศไม่แนะนำให้ใช้วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้ากับผู้สูงอายุ ด้วยเหตุผลว่า มีจำนวนผลการทดสอบวัคซีนในกลุ่มผู้สูงอายุไม่มากพอ

นายวิโรจน์ยังอ้างด้วยว่า แพทย์และผู้เชี่ยวชาญกลุ่มหนึ่ง ได้เคยเสนอแนะกับนายอนุทินว่าสถานการณ์ของไทยมีการระบาดไม่รุนแรงนัก จาก SEIR Model จึงแนะนำให้ฉีดวัคซีนแก่คนอายุ 20-49 ปีก่อน เพราะเป็นกลุ่มที่สัญจรไปมา จำเป็นต้องมีปฏิสัมพันธ์กัน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และมีโอกาสเป็นผู้แพร่เชื้อให้ผู้สูงอายุ เหตุใด พล.อ. ประยุทธ์ และนายอนุทินถึงไม่เชื่อผู้เชี่ยวชาญ

นายอนุทินยังไม่ได้ชี้แจงประเด็นนี้

5) รบ.ประท้วงวุ่นพาดพิง สยามไบโอไซเอนซ์

อีกคำถามที่นายวิโรจน์ทวงคำตอบจากฝ่ายบริหารคือ ทำไม พล.อ.ประยุทธ์ และนายอนุทิน ต้องเอาชีวิตและปากท้องของประชาชนทั้งประเทศไปกระจุกความเสี่ยง และรอคอยวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า ที่จะผลิตโดยบริษัทเอกชนที่ชื่อว่าสยามไบโอไซเอนซ์ ก่อนไล่เรียงลำดับเหตุการณ์ว่า ในระหว่างการประชุม ศบค. เมื่อ 22 ก.ค.2563 ศ.นพ. ปิยะสกล สกลสัตยาทร ที่ปรึกษา ศบค. กล่าวถึงบริษัทเอกชนที่มีศักยภาพในการผลิตวัคซีน และสามารถรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด เพื่อผลิตวัคซีนโควิด-19 ชนิด Viral Vector ได้ และขอให้รัฐบาลพิจารณาสนับสนุนงบเพิ่มเติม และขอให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นตัวแทนรัฐบาลในการเจรจาความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด หลังจากนั้น 2 วัน ศ.นพ.ปิยะสกลก็เอ่ยถึงชื่อ สยามไบโอไซเอนซ์ออกมาในระหว่างให้สัมภาษณ์สื่อ และพูดถึงตัวเลขงบประมาณ 600 ล้านบาท ซึ่ง ครม. ก็อนุมัติงบก้อนนี้ในเวลาต่อมา

"ถ้ารัฐบาลไม่สนับสนุน ก็เป็นไปได้ที่แอสตร้าเซนเนก้าจะไม่เลือกสยามไบโอไซเอนซ์ ดังนั้นคำชี้แจงที่ พล.อ. ประยุทธ์ และนายอนุทิน พูดมาโดยตลอดว่าแอสตร้าเซนเนก้าเป็นคนเลือกสยามไบโอไซเอนซ์ โดยที่รัฐบาลไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง จึงเป็นการโกหกประชาชนทั้งสิ้น" นายวิโรจน์กล่าวหา 2 รัฐมนตรี

ส่วนที่มีการชี้แจงว่าสยามไบโอไซเอนซ์ และแอสตร้าเซนเนก้าจะขายวัคซีนไทยด้วยนโยบายราคาไม่เอากำไร (No Profit No Loss) นายวิโรจน์หยิบยกคำพูดของ นพ. นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ซึ่งยืนยันต่อที่ประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ติดตามการบริหารงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร เมื่อ 3 ก.พ. 2564 ว่านโยบายดังกล่าวคาดว่าจะใช้ได้จนถึงปี 2565 เท่านั้น หากการระบาดสามารถควบคุมได้แล้ว บริษัทเอกชนก็จะสามารถทำกำไรจากการขายวัคซีนได้ พร้อมย้ำว่างบ 600 ล้านบาทที่รัฐบาลนำเอาไปอุดหนุนบริษัทเอกชน ประชาชนต้องตรวจสอบได้ เพราะไม่ได้ผลิตวัคซีนมาแจกให้ประชาชนฟรี ๆ

"บริษัทเอกชนที่ชื่อว่าสยามไบโอไซเอนซ์ นี่ไม่ได้มีบุญคุณอะไรกับประชาชนเลยนะครับ ถ้าจะนับกันจริง ๆ ว่าใครมีบุญคุณกับใคร ก็ต้องบอกว่าประชาชนต่างหากที่มีบุญคุณกับบริษัทนี้..." นายวิโรจน์กล่าวยังไม่จบประโยค ส.ส. รัฐบาลก็ยกมือประท้วงกันอย่างกว้างขวาง โดยนายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย (ภท.) ลูกพรรคของนายอนุทินประท้วงเรื่องการกล่าวหาบริษัทภายนอก ทั้ง ๆ ที่ก็รู้ว่าจดทะเบียนมาอย่างไร

"บริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ ก่อตั้งตามพระปณิธาน ร. 9 วันนี้ท่านกำลังจะบิดเบือน เพราะท่านเป็นกลุ่มหนึ่งที่จะแก้มาตรา 112" นายศุภชัยกล่าว

ด้านนายชวน หลีกภัย ประธานสภา เตือนไม่ให้ผู้อภิปรายเอ่ยชื่อบริษัทภายนอกอีก ทว่าไม่ได้ทำให้เหตุประท้วงลดลง เมื่อนายวิโรจน์กดไมค์พูดต่อในทำนองเชิญชวนประชาชน "จะให้อภัย พล.อ. ประยุทธ์ ไม่ได้โดยเด็ดขาด รู้ทั้งรู้ว่าบริษัทเอกชนที่ชื่อว่าสยามไบโอไซเอนซ์นั้น มีความเกี่ยวข้อง.."ทำให้ ส.ส. "ทีมองครักษ์พิทักษ์สถาบันฯ" นำโดยนายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ลุกขึ้นมาทำหน้าที่ทันควัน โดยย้ำว่าห้ามกล่าวถึงสถาบันฯ โดยไม่จำเป็น ส่วนนายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. พปชร. ประท้วงนายวิโรจน์ว่า "พ่อแม่ไม่สั่งสอน" ก่อนที่ประธานสภาจะสั่งให้ถอนคำพูด

ในช่วงท้ายนายวิโรจน์ยังกล่าวโจมตีนายกฯ ว่าใช้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 "ฟ้องร้องปิดปากคนที่ตั้งคำถามพิทักษ์ผลประโยชน์ของประชาชน" ด้วย

ตลอดเวลา 90 นาทีที่นักการเมืองฝ่ายค้านรายนี้อภิปราย ทั้ง ส.ส.ภท. และ ส.ส. พปชร. ได้ผนึกกำลังกันลุกขึ้นประท้วงตัดเกมเป็นระยะ โดยให้เหตุผลว่าอภิปรายวกวนซ้ำซาก เสียดสี ใส่ร้าย

น.ส. ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พปชร. ประท้วงตอนหนึ่งว่า ข้อมูลผู้อภิปรายเยอะ แต่ไม่รู้เป็นข้อเท็จจริงไหม "อย่าลืมว่าบิดาของท่านเคยไลฟ์สด จนถูกดำเนินคดีมาตรา 112 มาแล้ว จึงน่าเป็นห่วงว่าใช้เอกสารปลอมหรือไม่"

ก่อนหน้านี้ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ได้ถูกแจ้งความดำเนินคดี 112 จากกรณีจัดไลฟ์สดวิพากษ์วิจารณ์การจัดหาวัคซีนของรัฐบาล

เกี่ยวกับประเด็นแอสตร้าเซนเนก้า นายอนุทินท้าทายนายวิโรจน์ว่า "ท่านกล้าพูดหรือไม่ว่าบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าเป็นบริษัทที่เชื่อถือไม่ได้" ก่อนไล่เรียงความยากลำบากกว่าที่บริษัทแห่งนี้จะยอมให้ไทยซื้อวัคซีนและเทคโนโลยี ซึ่งต้องผ่านกระบวนการทดสอบขั้นต้นมาอย่างมากแล้ว โดยไทยมีกลุ่มธุรกิจที่ถือว่าใหญ่โตระดับโลกคือ SCG มีสายสัมพันธ์ จึงได้ประสานมาที่ สธ. และนายกฯ ว่ามีเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนที่ดูแล้วน่าจะเหมาะสมกับไทย ที่สำคัญเขาเชื่อว่าถ้าไทยได้เป็นฐานการผลิต วัคซีนนี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากในการช่วยเหลือมนุษยชาติ ไม่ใช่แค่ไทย แต่เป็นอาเซียนด้วย

ส่วนที่บอกว่าทำไมไม่พิจารณาให้บริษัทแอสตร้าเซนเนก้าลองติดต่อหาบริษัทที่สามารถผลิตวัคซีนนี้ได้ในไทย นายอนุทินแจกแจงว่า ถ้าทำได้ ทุกอย่างจะอยู่ภายใต้การควบคุมของคนที่อยู่ในไทย ไม่เกี่ยวข้องกับรัฐบาล สุดท้ายเขาก็ไปเจรจากัน และมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีกัน ซึ่งเป็นการตกลงกันระหว่างบริษัทแอสตร้าเซนเนก้ากับบริษัทในไทย พร้อมยืนยันบริษัทแอสตร้าฯ ไม่ได้เลือกบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์เพียงบริษัทเดียว

"ก่อนตัดสินใจเลือกให้เป็นผู้ผลิต เขาไปดูประสิทธิภาพของบริษัทยาอื่น ๆ ในไทยจำนวนมาก แต่สุดท้ายเขาเลือกบริษัทสยามไบไอไซเอนซ์ เพราะสามารถผลิตชีววัตถุที่มีความคงที่ที่สุด ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตวัคซีนตามเทคโนโลยีของเขา เขาจึงเริ่มเจรจาการผลิตวัคซีนกับไทย" รมว.สธ.แจกแจง

ด้าน พล.อ. ประยุทธ์ยืนยันเช่นกันว่าต้องการให้คนไทยได้รับวัคซีนโดยเร็วที่สุด ไม่ได้ต้องการให้ล่าช้า

"กังวลว่าการพูดเรื่องวัคซีนจะเป็นปัญหาในการที่เขาจะส่งมาหรือไม่ส่งมา ระมัดระวังนะครับ รับผิดชอบด้วย ที่จองไปแล้วอย่าให้มีปัญหาแล้วกัน ผมไม่ไปคาดโทษท่านน่ะ แต่ไอ้ที่ตกลงกันไว้ ถ้าเขาไม่ให้มาตรงนี้ ก็มีเรื่องกันน่ะ" พล.อ. ประยุทธ์ระบุ