รัสเซีย ยูเครน : 2 รมต. สหรัฐฯ เยือนเคียฟ ชี้รัสเซียล้มเหลวในเป้าสงคราม ให้เพิ่ม 700 ล้านเหรียญ

Ukrainian President Zelensky with Secretaries Austin and Blinken

ที่มาของภาพ, EPA

คำบรรยายภาพ, นายลอยด์ ออสติน (ซ้าย) และ นายแอนโทนี บลิงเคน (ขวา) ขณะเข้าพบผู้นำยูเครน

นายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่า แม้รัสเซียพยายามใช้ความโหดร้ายในหลายพื้นที่ของยูเครน แต่ก็ประสบความล้มเหลวในเป้าหมายการทำสงครามของตน ในขณะที่ยูเครนยังคงยืนหยัดอย่างแข็งแกร่ง

นายบลิงเคนกล่าวเรื่องนี้ในโปแลนด์ หลังจากเขาและนายลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ได้เดินทางเยือนกรุงเคียฟเพื่อเข้าพบหารือกับประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี เป็นเวลาสั้น ๆ เมื่อ 25 เม.ย. ก่อนจะเดินทางกลับในทันที

ด้านนายออสติน แสดงความหวังว่ารัสเซียจะเผชิญกับความพ่ายแพ้ในสงครามนี้ และนี่จะทำให้ผู้นำรัสเซียไม่กล้าทำสงครามรุกรานเช่นนี้ซ้ำอีก

เขากล่าวอีกด้วยว่า ยูเครนยังมีโอกาสชนะสงคราม หากได้รับการสนับสนุนที่ถูกต้อง พร้อมกับยกย่องความพยายามของกองทัพยูเครน

"เราอยากเห็นรัสเซียอ่อนแอถึงขั้นที่ไม่จะไม่สามารถทำสิ่งที่ได้กระทำในการรุกรานยูเครนได้อีก" นายลอยด์ กล่าว

นายบลิงเคนและนายออสตินถือเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงสุดของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ได้มาเยือนยูเครน นับแต่รัสเซียเริ่มทำสงครามรุกรานเมื่อ 2 เดือนก่อน ทั้งสองให้คำมั่นกับผู้นำยูเครนว่า จะมอบความช่วยเหลือทางทหารเพิ่มเติมอีกกว่า 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยเงินจำนวนนี้จะจัดสรรเพื่อช่วยเหลือยูเครนครึ่งหนึ่ง และส่วนที่เหลือจะแบ่งกันในหมู่ชาติสมาชิกนาโตและพันธมิตรจากประเทศอื่น ๆ นอกจากนี้สหรัฐฯ จะขายเครื่องกระสุนให้กับยูเครน โดยคิดเป็นมูลค่า 165 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อีกด้วย

Ukrainian and US delegations meeting in Kyiv

ที่มาของภาพ, EPA

คำบรรยายภาพ, ผู้นำยูเครนเรียกร้องความช่วยเหลือเพิ่มเติมด้านการทหารจากชาติตะวันตก

แอนนา ฟอสเตอร์ ผู้สื่อข่าวของบีบีซีที่กรุงเคียฟรายงานว่า การที่ผู้นำยูเครนประกาศถึงการมาเยือนของสองรัฐมนตรีจากสหรัฐฯ ล่วงหน้านั้น ถือว่าไม่เป็นไปตามหลักปฏิบัติด้านความปลอดภัยที่มีมาก่อนหน้านี้

นายเซเลนสกีแถลงก่อนการพบหารือดังกล่าวว่า ประเด็นสำคัญในการเจรจากับรัฐมนตรีทั้งสองของสหรัฐฯ คือการขอสนับสนุนอาวุธยุทโธปกรณ์เพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาวุธหนัก และระบบป้องกันการโจมตีด้วยขีปนาวุธที่มีความทันสมัย เพื่อนำไปประจำการในภาคใต้และภาคตะวันออก ซึ่งเป็นสมรภูมิแห่งใหม่ที่กำลังปะทะกันอย่างดุเดือด

รัสเซียประกาศหยุดยิงที่โรงงานเหล็กมาริอูโปล

กระทรวงกลาโหมรัสเซียระบุว่า จะเปิดทางให้พลเรือนที่ติดอยู่ในโรงงานผลิตเหล็กกล้าแอสอฟสตาล (Azovstal) ในเมืองมาริอูโปลได้อพยพออกจากพื้นที่อย่างปลอดภัย

กระทรวงกลาโหมระบุว่า หน่วยทหารของรัสเซียจะถอนกำลังออกมา "ในระยะที่ปลอดภัย" ตั้งแต่ 12:00 น.ตามเวลามาตรฐานกรีนิช (GMT) หรือ 19:00 น.ตามเวลาประเทศไทย

พลเรือนและทหารยูเครนที่เข้าไปหลบภัยในเขตโรงงานแอสอฟสตาลได้ตกอยู่ภายใต้การปิดล้อมของทหารรัสเซียมานานหลายสัปดาห์ ซึ่งบริเวณนี้คือพื้นที่สุดท้ายในเมืองมาริอูโปลที่ยังไม่ถูกทหารรัสเซียเข้ายึดครอง

คำบรรยายวิดีโอ, รัสเซีย ยูเครน : คำวิงวอนสุดท้ายของทหารมาริอูโปล

ก่อนประกาศหยุดยิงครั้งนี้ กองกำลังรัสเซียระดมทิ้งระเบิดและโจมตีโรงงานแอสอฟสตาล ซึ่งเป็นสถานที่ที่กองพันอาซอฟของยูเครนปักหลักต่อสู้ โดยมีพลเรือนและเด็กจำนวนหนึ่งอาศัยหลบภัยอยู่ด้วย

ประธานาธิบดีเซเลนสกีของยูเครนแถลงว่า ได้สนทนาทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีเรเจป ทายยิป แอร์โดอัน ของตุรกี ก่อนที่นายแอร์โอดันจะต่อสายถึงประธานาธิบดีปูตินของรัสเซีย โดยผู้นำยูเครนกล่าวย้ำว่ามีความจำเป็นจะต้องอพยพพลเรือนออกจากเมืองมาริอูโปลโดยด่วน ซึ่งรวมถึงประชาชนที่อยู่ภายในโรงงานแอสอฟสตาลด้วย ส่วนกองกำลังที่ถูกปิดล้อมอยู่นั้นควรมีการแลกเปลี่ยนตัวกับเชลยศึกรัสเซียในทันที

ก่อนหน้านี้นายเซเลนสกีขู่ว่า หากรัสเซียสังหารกองกำลังยูเครนที่ยังเหลืออยู่ในโรงงานแอสอฟสตาล เขาจะยุติการเจรจาสันติภาพระหว่างสองฝ่าย

ที่ผ่านมาความพยายามของยูเครนที่จะเปิดระเบียงมนุษยธรรม หรือช่องทางปลอดภัยในการอพยพพลเรือนออกจากเมืองมาริอูโปลต้องล้มเหลวมาโดยตลอด โดยเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา แผนการอพยพที่กำหนดไว้ไม่ประสบความสำเร็จถึงสองครั้ง เนื่องจากกองกำลังรัสเซียระดมโจมตีอย่างต่อเนื่อง

นางอิรีนา เวเรซชุก รองนายกรัฐมนตรีของยูเครนยังกล่าวหาว่า รัสเซียพยายามเปิดช่องทางอพยพของตนเอง เพื่อนำพลเรือนที่ยังเหลืออยู่ออกจากเมืองมาริอูโปลไปยังค่ายกักกันในเขตแดนของตน ซึ่งค่ายเหล่านี้ถูกจัดตั้งขึ้นทั้งในเมืองของยูเครนที่รัสเซียเข้ายึดครองและในเขตแดนประเทศรัสเซียเองด้วย

โรงงานผลิตเหล็กกล้าอาซอฟสตัลท่ามกลางควันไฟจากการโจมตี

ที่มาของภาพ, Reuters

คำบรรยายภาพ, โรงงานผลิตเหล็กกล้าอาซอฟสตัลท่ามกลางควันไฟจากการโจมตี

รัสเซียถล่มสถานีรถไฟยูเครน

รัสเซียถล่มสถานีรถไฟ 5 แห่งในภาคกลางและภาคตะวันตกของยูเครน เจ้าหน้าที่ภูมิภาควีนิตเซียระบุว่า เหตุโจมตีที่เกิดขึ้นทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ แต่ไม่ได้เปิดเผยตัวเลขชัดเจน ขณะที่เจ้าหน้าที่เมืองลวิฟ โพสต์ข้อความทางแอปพลิเคชันเทเลแกรมว่าไม่มีผู้เสียชีวิตจากการโจมตีที่เมืองลวิฟ

รถไฟถือเป็นเส้นทางสำคัญในการที่ประชาชนใช้หนีภัยสงครามไปทางภาคตะวันตกของยูเครน นอกจากนี้ ยังมีความสำคัญในการลำเลียงยุทโธปกรณ์ที่จำเป็นไปยังภาคตะวันออกของประเทศ

มาร์ก โลเวน ผู้สื่อข่าวบีบีซีที่รายงานจากกรุงเคียฟ ระบุว่า การโจมตีสถานีรถไฟเป็น "การยิงเตือน" จากรัฐบาลรัสเซีย หลังจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ เดินทางเข้าพบปะประธานาธิบดี เซเลนสกี ในกรุงเคียฟ

นอกจากนี้ ยังมีรายงานยอดพลเรือนเสียชีวิตเพิ่มในโดเนตสก์และคาร์คิฟ

ผู้ว่าการภูมิภาคโดเนตสก์ ยืนยันว่า มีพลเรือน 5 คน ซึ่งในจำนวนนี้มีเด็กรวมอยู่ด้วย 2 คน เสียชีวิตจากการยิงปืนใหญ่ของรัสเซีย เมื่อ 24 เม.ย. ซึ่งเป็นวันที่ชาวคริสต์นิกายออร์โธด็อกซ์ระลึกถึงการฟื้นคืนชีพของพระเยซูเนื่องในเทศกาลอีสเตอร์

การที่รัสเซียระดมยิงปืนใหญ่ทั้งวันทำให้มีผู้เสียชีวิตอีก 3 รายในคาร์คิฟ และบาดเจ็บอีก 14 ราย

"โลกทั้งใบของผมถูกทำลายด้วยขีปนาวุธรัสเซีย"

ยูรีย์กับลูกสาวที่เสียชีวิตจากการโจมตีของรัสเซียเมื่อวันที่ 23 เม.ย.

ที่มาของภาพ, FAMILY HANDOUT

คำบรรยายภาพ, ยูรีย์กับลูกสาวที่เสียชีวิตจากการโจมตีของรัสเซียเมื่อวันที่ 23 เม.ย.

นายยูรีย์ กลอดาน ชาวเมืองท่าโอเดสซาทางตอนใต้ของยูเครน เปิดเผยความรู้สึกกับผู้สื่อข่าวบีบีซี หลังสูญเสียภรรยาที่อยู่กินกันมา 9 ปี และลูกสาวคนเดียววัยเพียง 3 เดือน จากการที่บ้านถูกโจมตีด้วยขีปนาวุธของกองกำลังรัสเซีย

"วาเลอเรียภรรยาของผมทำงานเป็นนักประชาสัมพันธ์ เธอรักเมืองโอเดซามาก เธอเป็นทั้งแม่และเพื่อนที่ดี มีคุณสมบัติทุกอย่างเพียบพร้อมแบบที่ผมจะหาใครเหมือนเธอไม่ได้อีกแล้ว เธอคือของขวัญจากพระเจ้าที่คุณจะได้รับเพียงครั้งเดียวในชีวิตเท่านั้น" ยูรีย์กล่าว

เมื่อวันที่ 23 เม.ย.ที่ผ่านมา มีขีปนาวุธพุ่งตรงเข้าทำลายชั้นบนของบ้านที่ครอบครัวเขาอาศัยอยู่ ขณะที่ยูรีย์ออกไปซื้อของข้างนอก ทำให้ภรรยา แม่ยาย และ "คีรา" ลูกสาวที่ยังเป็นทารกเสียชีวิตทั้งหมด ทั้งยังมีเพื่อนบ้านเสียชีวิตพร้อมกันในเหตุการณ์นี้อีก 5 ราย ประธานาธิบดี เซเลนสกี ถึงกับกล่าวประณามว่า "การสังหารเด็กทารกคงจะเป็นอุดมการณ์แห่งชาติแนวใหม่ของรัสเซีย"

"ตอนที่ลูกเกิดมาเรามีความสุขกันมาก มันยากเหลือเกินที่จะยอมรับว่า ลูกเมียของผมไม่ได้อยู่บนโลกนี้อีกต่อไปแล้ว โลกทั้งใบของผมถูกทำลายด้วยขีปนาวุธของรัสเซีย" ยูรีย์กล่าว

ขณะที่เขากลับมาเก็บของในบ้านที่หักพังเพื่อนำไปเป็นที่ระลึก ยูรีย์มอบผ้าอ้อมที่ยังเหลืออยู่ของลูกให้องค์กรการกุศล เพื่อนำไปให้เด็กที่อยู่ท่ามกลางภัยสงครามคนอื่น ๆ ได้ใช้ต่อไป เขากล่าวส่งท้ายว่า "สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความเศร้าโศกของครอบครัวผม ของชาวเมือง ของยูเครน และของมนุษยชาติทั้งหมด ผมหวังว่าเรื่องของเราจะช่วยหยุดยั้งสงครามได้"

line
line

รัสเซียกำลังดำเนินแผนการเข้ายึดภาคใต้และภาคตะวันออกของยูเครนให้ได้โดยสมบูรณ์ เพื่อสร้างสะพานแผ่นดินเชื่อมต่อดินแดนใต้การปกครองของตนที่อาจขยายไปถึงประเทศมอลโดวา

รายงานข่าวกรองของกระทรวงกลาโหมสหราชอาณาจักรยังระบุว่า รัสเซียเตรียมจัดการลงประชามติเพื่อรับรองให้เมืองเคียร์ซอนทางตอนใต้แยกตัวเป็นเอกราช ซึ่งเป็นหนทางหนึ่งในการสร้างความชอบธรรมแก่การรุกรานยูเครนของรัสเซีย

ด้านนางลุดมิลา เดนิโซวา ผู้ตรวจการรัฐสภาซึ่งดูแลงานด้านสิทธิมนุษยชนของยูเครน กล่าวหารัสเซียว่าได้ละเมิดอนุสัญญาเจนีวา เนื่องจากปฏิบัติต่อทหารยูเครนที่เป็นเชลยศึกอย่างไร้มนุษยธรรม โดยมีการนำตัวไปใช้แรงงานหนักในค่ายกักกันสำหรับอาชญากร

นางเดนิโซวากล่าวอ้างถึงค่ายแรงงาน 2 แห่งในภูมิภาครอสตอฟของรัสเซียว่า มีการโยกย้ายนักโทษที่มีอยู่เดิมไปยังสถานที่แห่งใหม่ เพื่อให้มีที่ว่างรองรับเชลยศึกจากยูเครน ซึ่งคนเหล่านี้จะถูกควบคุมโดยพัศดีผู้ดูแลเรือนจำของรัสเซีย ภายใต้สภาพความเป็นอยู่ที่เลวร้าย