ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ ชี้มี “ขบวนการสร้างข่าวปลอม” ยุคโควิด-19 กับวาทะล่าสุด “ยังไม่มีใครต้องติดคุกเพราะไปด่ารัฐบาล”
- Author, เรื่องโดย หทัยกาญจน์ ตรีสุวรรณ ผู้สื่อข่าวบีบีซีไทย
- Role, วิดีโอโดย วสวัตติ์ ลุขะรัง ผู้สื่อข่าววิดีโอ
นักการเมืองชายวัย 49 ปี ปรากฏตัวในชุดเสื้อแจ็กเก็ตสีดำซึ่งมีตราสัญลักษณ์ของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมแห่งชาติ (Anti-Fake News Center Thailand) ปักอยู่ที่อกซ้าย ส่วนอกขวา ประทับชื่อกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) หน่วยงานที่เขาเป็นผู้บริหารสูงสุด เมื่อต้องทำ "ภารกิจสำคัญ"
นอกจากเอกสารสรุปข้อมูลไม่กี่แผ่นที่วางอยู่บนโต๊ะ ข้างกายของ ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดีอีเอส มักมีตำรวจชั้นนายพลนั่งประกอบฉาก เพิ่มความหนักแน่นให้กับเนื้อหาที่เขาเตรียมมาสื่อสารต่อสาธารณะ
"ขอความกรุณาอย่าใช้สิ่งเหล่านี้เคลื่อนไหวทางการเมืองโจมตีรัฐบาล เพราะสิ่งที่ทำเป็นการบิดเบือนข้อมูล เป็นการสร้างเฟกนิวส์ (ข่าวปลอม) ขึ้นในระบบโซเชียลมีเดีย" รมว.ดีอีเอส แถลงเมื่อ 20 ก.ค. ท่ามกลางปรากฏการณ์ศิลปิน ดารา และผู้ทรงอิทธิพลในสื่อสังคมออนไลน์ออกมาแสดงความเห็นต่อการบริหารวิกฤตโควิด-19 ของรัฐบาล หรือคอลเอาต์ (call out)
- ดารา call out: ทนายนายกฯ แจ้งความ "มิลลิ" ข้อหาหมิ่นประมาท หลังวิจารณ์รัฐบาลประยุทธ์
- ปชป.-ภท. เปิดเงื่อนไขไม่ทิ้งประยุทธ์ ท่ามกลางแรงกดดันให้ยุบสภา-ลาออก-ถอนตัว
- ทวิดา กมลเวชช "เจ้าแม่ภัยพิบัติ" มองปรากฏการณ์ "ฟ้องรัฐบาล" ในวิกฤต
- ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดีอีเอส เจ้าของวาทะ "สถาบันฯ ดีอยู่แล้ว จะไปยุ่งกับท่านทำไม"
ชัยวุฒิยอมรับกับบีบีซีไทยว่า "หวั่นใจ" กับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น จึงออกมาเตือนคนบันเทิงให้ "เป็นกลาง" และ "มองความจริงรอบด้าน"
"ผมเชื่อว่าดาราเป็นคนที่มีคนรัก คนศรัทธา มีคนชื่นชอบ ท่านพูดไปก็มีคนเชื่อท่าน ดังนั้นก็อยากให้ระมัดระวัง อย่าใช้สิ่งเหล่านี้ไปในทางที่ผิด อย่าตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เพราะผมก็ทราบว่าการเคลื่อนไหวของดาราก็มีเบื้องหลัง เราพยายามติดตามอยู่ว่ามันมาจากดารากลุ่มหนึ่ง มาจากบริษัทกลุ่มหนึ่ง ค่าย ๆ หนึ่ง พูดง่าย ๆ ว่ามันมีไม่กี่ค่ายไม่กี่บริษัทที่มีดาราอยู่ในมือเยอะ ๆ แล้วเขาก็สั่งให้ดาราลงมาเคลื่อนไหวเหล่านี้ มันเป็นขบวนการ" รัฐมนตรีสังกัดพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เปิดเผยสมมติฐานในใจ
ทว่ายังไม่ทันได้ขยายความว่าใครคือผู้บงการขบวนการที่เขากล่าวอ้าง ชัยวุฒิคนเดิม สวมเสื้อตัวเดิม ขอปรับคำพูดใหม่ในระหว่างสื่อสารทางเดียวกับประชาชนผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊กของรัฐมนตรี ซึ่งมีผู้ติดตามราว 2.6 หมื่นคน
"เท่าที่ได้ดูการคอลเอาต์ ออกมาเรียกร้องต่าง ๆ ของดารายังไม่เข้าข่ายความผิด เป็นการเรียกร้องถึงปัญหาความไม่พอใจต่าง ๆ ที่มีต่อรัฐบาลในการแก้ปัญหาของโควิด เราก็เข้าใจ" คลิปวิดีโอของ รมว.ดีอีเอส ถูกเผยแพร่เมื่อ 22 ก.ค. ระบุไว้ตอนหนึ่ง
แม้ร่วมวงคณะรัฐมนตรี (ครม.) "ประยุทธ์ 2/4" มา 4 เดือนเต็ม แต่เชื่อว่าไม่มีครั้งใดที่ชื่อ ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ จะถูกพูดถึงและค้นหาอย่างกว้างขวางในโลกออนไลน์ จนติดอันดับเทรนด์ยอดนิยมประเทศไทยตามการเก็บข้อมูลของเว็บไซด์กูเกิลเมื่อ 21 ก.ค. ด้วยยอดสืบค้นกว่า 5 พันครั้งภายในเวลา 24 ชม.
รมต. ผู้ไม่คอยเฝ้าหน้าจอ เผยกลไกใครสร้างข่าวปลอม
ชัยวุฒิโลดแล่นอยู่ในแวดวงธุรกิจ-การเมืองมา 20 ปี ภายใต้ต้นสังกัด 3 พรรคการเมือง ออกหาเสียงครั้งแรกตั้งแต่อายุ 27 ปี ก่อนถึงฝั่งฝันบนเก้าอี้รัฐมนตรีเป็นหนแรกของชีวิตเมื่อ 23 มี.ค. 2564
เสนาบดีหน้าใหม่ได้รับคำสั่งให้ "เข้าไปช่วยดูแลเรื่องเฟกนิวส์"
"มันเลยเหมือนผมเล่นแต่เรื่องนี้ เพราะเป็นภารกิจสำคัญ ถ้าเราแก้ปัญหาโควิด แก้ปัญหาเฟกนิวส์ไม่ได้ ประเทศก็เดินหน้าได้ยาก" เขาแจกแจง
แต่ถึงกระนั้น เจ้ากระทรวงผู้กำกับดูแลงานด้านเทคโนโลยีและการสื่อสารของประเทศเล่าว่า เขาไม่ใช่คนที่คอยเฝ้าหน้าจอคอมพิวเตอร์/สมาร์ทโฟน เพื่อติดตามความเคลื่อนไหวในโซเชียลมีเดีย แต่เสพข้อมูลข่าวสารผ่านวิทยุและโทรทัศน์เป็นหลัก ทว่าหากมีข้อมูลสำคัญ ๆ ที่จำเป็นต้องรู้ เพื่อนฝูงและทีมงานก็จะส่งมาให้ดู
ท่ามกลางวิกฤตโควิด-19 ที่ลุกลามบานปลายกลายเป็นวิกฤตศรัทธาต่อรัฐบาล ได้เกิดสงครามข้อมูลข่าวสารคู่ขนานกันไป เมื่อประชาชนบางส่วนไม่เชื่อมั่นในข้อมูลของภาครัฐและพยายามแสวงหาข้อเท็จจริงด้วยตัวเอง ขณะที่ 1 ใน 36 รัฐมนตรี อ้างว่ามี "ขบวนการสร้างข่าวปลอม" ซึ่งมีเป้าหมายทางการเมืองแอบแฝง
ในระหว่างให้สัมภาษณ์พิเศษกับบีบีซีไทย ชัยวุฒิไล่เรียงเส้นทางของขบวนการเฟกนิวส์ โดยเปรียบเทียบกับ 4 องค์ประกอบตามทฤษฎีสื่อสาร ผู้ส่งสาร-สาร-ช่องทางการสื่อสาร-ผู้รับสาร
ผู้ส่งสาร: ชัยวุฒิระบุว่ามีผู้ร่วมขบวนการ 3 กลุ่มหลัก
- กลุ่มที่อยากไล่รัฐบาลเพื่อที่ตัวเองจะได้มาเป็นรัฐบาล
- กลุ่มที่อยากเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองในทางที่เขาต้องการ
- กลุ่มคึกคะนอง หิวแสง อยากดัง
เขาอธิบายว่า คนแต่ละกลุ่มใน "แถวหนึ่ง" จะมีต้นโพสต์มาก่อน คิดประเด็นและวางแผนว่าจะโพสต์เรื่องนี้ จากนั้นจะมีเครือข่าย "แถวสอง" รับหน้าที่กระจายข้อมูลต่อ โดยอาจมี 10, 20, 30 คน ตามด้วย "แถวสาม" ซึ่งมีจำนวนเป็น 100 คนแล้วรอรับข้อมูลอีกทอดก่อนกระจายต่อไปยัง "แถวสี่" จากนั้นก็กระจายไปทั่วระบบ สุดท้ายประชาชนก็เป็นเหยื่อเอาเฟกนิวส์ไปแชร์ต่อ ซึ่งทั้งหมดนี้ใช้เวลาราว 1 ชม.
"เรามีระบบติดตามได้แล้วว่าใครคือต้นโพสต์ ใครคือคนแชร์คนแรก เราก็จะพยายามเข้าไปบล็อก หรือเข้าไปดำเนินคดีกับคนเหล่านี้" ชัยวุฒิกล่าว
อย่างไรก็ตาม รมว.ดีอีเอส ไม่ขอเปิดเผยยอด "แถวหนึ่ง" ที่ตกเป็นเป้าหมายถูกจับตามองเป็นพิเศษ โดยบอกใบ้เพียงว่ามีทั้งคนที่อยู่ต่างประเทศซึ่ง "ลี้ภัยไปแล้ว และทิ้งปัญหาให้คนไทยเอาไว้ พอคนไปแชร์/โพสต์ต่อ เราไปจับ ก็เหมือนกับเขาเป็นเหยื่อ" นอกจากนี้ยังมีคนหน้าใหม่สับเปลี่ยนมาเป็นต้นโพสต์บ้าง แต่บางครั้งก็เป็นชาวบ้านธรรมดาซึ่งเชื่อว่า "โดนหลอกใช้มาอีกทอดหนึ่ง"
ชัยวุฒิยังประกาศหาช่องทางตามกฎหมายจัดการกับเหล่า "อวตาร" หรือผู้ใช้งานสื่อสังคมออนไลน์ที่สร้างบัญชีลวง ไม่เปิดเผยตัวตนและข้อมูลส่วนตัว หลังพบว่าข้อความรุนแรง/ผิดกฎหมายส่วนใหญ่ มีอวตารเป็นต้นโพสต์
"ถ้าเราสามารถบล็อกไม่ให้มีอวตารในระบบได้ โพสต์ที่ผิดกฎหมายก็จะหายไป" เขาให้ความเห็น
ปฏิเสธไม่ได้ว่านอกจากอวตารที่ชัยวุฒิบอกว่าเป็นต้นโพสต์ข่าวปลอม ยังมีอวตารภาครัฐ อันหมายถึงเครือข่ายปฏิบัติการด้านข่าวสาร (Information Operation : IO) ที่คอย "ปั่นแท็ก" สร้างภาพลักษณ์ในเชิงบวกให้แก่กองทัพและสถาบันฯ และ "ด้อยค่า" ผู้เห็นต่างทางการเมือง ตามการเปิดเผยข้อมูลของนักการเมืองฝ่ายค้านกลางสภาในหลายครั้งหลายหน หรือแม้แต่ทวิตเตอร์ก็ระงับการใช้งานบัญชี 926 บัญชีที่เชื่อว่าเป็นเครือข่ายไอโอของกองทัพบก (ทบ.) เมื่อ ต.ค. 2563
หากกระทรวงดีอีเอสประกาศจัดการอวตาร จะกระทบต่อการทำงานของบรรดาไอโอด้วยหรือไม่
"ผมไม่ทราบเหมือนกันนะ เพราะผมไม่ได้ทำ ไม่รู้" ชัยวุฒิยิ้มเล็ก ๆ ขณะตอบคำถามนี้
ส่งคนสอดแนมในคลับเฮาส์-งดตีความโพสต์แบบไหนเป็นเฟกนิวส์
สาร: ในขณะที่ชัยวุฒิออกโรงปรามเหล่าคนดังให้ระมัดระวังการแสดงความคิดเห็นผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ทำให้ผู้คนต่างพากันตั้งคำถามว่าโพสต์แบบไหนที่เข้าข่ายเฟกนิวส์ มีความผิดตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 หรือโพสต์แบบไหนเป็น "ข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว" มีความผิดตามข้อกำหนดฉบับที่ 27 ออกตามความในพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548
รมว.ดีอีเอส ไม่ขอตีความหรือยกตัวอย่างใด ๆ โดยให้เหตุผลว่าลงรายละเอียดยาก แล้วแต่กรณี เขาเพียงแต่อธิบายหลักการในการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จากมุมของรัฐบาลว่าอยากให้บ้านเมืองสงบสุข อยากควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาให้ได้ นั่นหมายความว่าประชาชนต้องให้ความร่วมมือกับรัฐเวลามีมาตรการใด ๆ ออกมา
"ถ้าสื่อทีวี วิทยุ ออนไลน์ไปให้ข้อมูลที่ทำให้ประชาชนไม่กล้าให้ความร่วมมือกับรัฐ โจมตีโน่นนี่นั่นมาก ๆ พอประชาชนไม่ให้ความร่วมมือ เราก็ควบคุมการแพร่ระบาดยาก เราถึงออก (ข้อกำหนด) มาว่าขอให้สื่อร่วมมือ.. ก็ต้องคิดว่าอะไรที่เป็นข่าวออกไปแล้วทำให้คนตื่นตระหนก ไม่ปฏิบัติตามมาตรการโควิด ก็ไม่ควรสื่อออกไป" รัฐมนตรีผู้กำกับดูแลศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมกล่าว
ช่องทางการสื่อสาร: แพลตฟอร์มหลักที่ถูกใช้เป็นช่องทางการผลิตและเผยแพร่ข่าวปลอม หนีไม่พ้น เฟซบุ๊ก, ทวิตเตอร์ และยูทิวบ์ ซึ่งชัยวุฒิยอมรับว่าการที่เจ้าของแพลตฟอร์มเป็นบริษัทต่างชาติ ไม่ได้ปฏิบัติตามกฎหมายไทย 100% ทำให้กระบวนการเคลื่อนไหวมีความต่อเนื่องและสกัดกั้นได้ยาก โดยเฉพาะในทวิตภพที่รัฐไม่ค่อยทันต่อความไวของมือทวีต/รีทวีต นอกจากนี้ยังมีพื้นที่ใหม่ ๆ อย่างแอปพลิเคชันคลับเฮาส์ ซึ่งดีอีเอสต้องส่ง "หน่วยสอดแนม" เข้าไปหาข่าว
"เขาใช้คลับเฮาส์ในการระดมคน ในการนัดหมาย ผมทราบว่าเรามีการส่งคน ซึ่งไม่ใช่เจ้าหน้าที่ อาจเป็นสมาชิกคอยรายงานเราว่ามีการทำอะไรยังไง เพื่อจะได้ป้องปรามและแก้ไขสถานการณ์ได้" ชัยวุฒิกล่าว
รมว.ดีอีเอสระบุว่า ทุกครั้งที่มีการชุมนุมทางการเมือง จะมีการใช้โซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือ ตั้งแต่เชิญชวนคนเข้าร่วมชุมนุม ปั่นกระแสให้คนเกลียดชังรัฐบาลเพื่อจะได้ออกไปชุมนุม ซึ่งกระทรวงดีอีเอสและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ได้ร่วมกันตั้งทีมติดตามและรวบรวมหลักฐานไว้ทั้งหมดแล้ว
อย่างในการชุมนุมขับไล่รัฐบาลเมื่อ 18 ก.ค. ศูนย์เฝ้าระวังติดตามสถานการณ์การชุมนุมและใช้โซเชียลมีเดีย กระทรวงดีอีเอส รายงานว่า พบการโพสต์/แชร์ข้อความผิดกฎหมายหรือเข้าข่ายต้องตรวจสอบทั้งหมด 67 เรื่อง แบ่งเป็น จากเฟซบุ๊ก 52 เรื่อง, ทวิตเตอร์ 6 เรื่อง, ยูทิวบ์ 6 เรื่อง, เว็บบอร์ด 2 เรื่อง และคลับเฮาส์ 1 เรื่อง ในจำนวนนี้มีอยู่ 4 เรื่องที่เข้าข่ายกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
"ยังไม่มีใครต้องติดคุกเพราะไปด่ารัฐบาล"
ผู้รับสาร: ชัยวุฒิประเมินว่าประชาชนในฐานะผู้รับสารตอบสนองต่อ "ข่าวไม่ดี" มากขึ้น ท่ามกลางภาวะยากลำบาก-วิตกกังวลจากการระบาดโควิด-19 ระลอกสาม ที่เกิดขึ้นเป็นวงกว้าง ขณะที่เศรษฐกิจชะลอตัวสะสม ภาคธุรกิจยังไม่ฟื้นหรืออาจถึงขั้นสายป่านขาดไปแล้ว
"เวลามีข่าวไม่ดี ข่าวที่ทำให้เขาสะใจ เขาก็จะมีความเห็นร่วม มีความรู้สึกเชื่อฟังเชื่อมั่นสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นเยอะ เพราะเขามีความวิตกกังวลอยู่ก่อนแล้ว แต่อีกส่วนก็เป็นเรื่องของรัฐบาลด้วย ซึ่งต้องยอมรับว่าในภาวะวิกฤต ต้องมีการปรับเปลี่ยนนโยบายหรือวิธีการอยู่ตลอด เพราะมันเป็นโรคอุบัติใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และเชื้อก็กลายพันธุ์อีก ดังนั้นมาตรการต่าง ๆ ที่รัฐออกมาก็จะมีการปรับเปลี่ยนไป อาจทำให้พี่น้องประชาชนบางกลุ่มรู้สึกสับสนหรือขาดความเชื่อมั่น" รัฐมนตรีในรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์กล่าว
ในยุค "ไทยแลนด์ 4.0" เหล่าคนดังและคนทั่วไปย่อมมีสิทธิเปิดหู-เปิดตารับข้อมูลข่าวสารที่แตกต่างจาก "ความจริงของรัฐบาล" ก่อนนำมาคิด วิเคราะห์ แยกแยก โดยที่บางส่วนได้เปิดหน้า-เปิดปากวิพากษ์วิจารณ์การบริหารวิกฤตของรัฐบาล แล้วจะตีความได้อย่างไรว่าเป็นการบิดเบือน/สร้างข่าวปลอม
ชัยวุฒิเห็นด้วยว่าข้อมูลมีหลากหลาย แต่เวลาจะโพสต์อะไร ก็ต้องศึกษาให้รอบด้าน เพราะปัญหาบางอย่างไม่ได้เกิดจากสิ่งที่รัฐบาลทำอย่างเดียว
"ต่อให้ท่านคิดว่าคอลเอาต์ ให้เปลี่ยนนั่น เปลี่ยนนี่ ให้เปลี่ยนรัฐบาล แต่บางทีปัญหาไม่ได้อยู่ที่รัฐบาล การแพร่ระบาดของโควิดเป็นปัญหาของทั้งโลก ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะที่ประเทศไทย" และ "ประเทศที่โควิดระบาดหนัก ๆ มันก็มีปัญหา มีคนเสียชีวิตทั้งนั้น มันไม่ใช่ความผิดของรัฐบาลอย่างเดียว มันเป็นความผิดของเชื้อกลายพันธุ์ที่มันแพร่ระบาดรุนแรง ต้องมองถึงจุดนี้ด้วย"
ถ้าเช่นนั้น เส้นแบ่งระหว่างการแสดงความคิดเห็นซึ่งเป็นเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ กับการต้องตกเป็นผู้ต้องหาคดีอาญาเพราะวิจารณ์ผู้มีอำนาจ อยู่ตรงไหนอย่างไร
คำตอบของรัฐมนตรีผู้กำกับดูแลศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมคือข้อเท็จจริงและเจตนา หากเป็นข้อเท็จจริง อย่างไรก็แสดงความคิดเห็นได้ และต้องมีเจตนาที่บริสุทธิ์
เขาปฏิเสธด้วยว่า ไม่เคยคิดใช้กฎหมายฟ้องปิดปากประชาชนในฐานะผู้รับสาร ที่ผันตัวมาเป็น ผู้ส่งเสียง
"จริง ๆ ผมว่าคนไทยได้ระบายกันเยอะนะ ผมยังไม่เห็นใครไม่ได้ระบายอารมณ์เลย ก็ใส่กันมาเต็มที่ทั้งนั้นนะครับ และยังไม่มีใครถูกดำเนินคดี ต้องติดคุกเพราะไปด่ารัฐบาลเลยนะ แต่ทางผมก็ทำหน้าที่ป้องปรามประชาชน อยากรักษาบรรยากาศของการเมือง การบริหารราชการแผ่นดินของประเทศให้ราบรื่น เพื่อจะได้แก้ปัญหาโควิดได้" รมว.ดีอีเอสกล่าว
เปลี่ยนนายกฯ ไม่ทำให้ได้วัคซีนใหม่-ผลิตหมอได้เพิ่ม
ย้อนกลับไปเมื่อ ต.ค. 2563 ชัยวุฒิในฐานะ ส.ส.บัญชีรายชื่อ เคยวิเคราะห์ความเคลื่อนไหวของขบวนการเรียกร้องประชาธิปไตยและให้มีการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ในระหว่างการเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติเพื่อหาทางออกของประเทศจากสถานการณ์การชุมนุมทางการเมือง
ในวันนั้น ชัยวุฒิบอกว่าหากนายกฯ ลาออกตามข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุม เท่ากับเป็นการ "ยอมแพ้" และ "ยอมรับแล้วว่าท่านจะให้มีการเปลี่ยนแปลง"
9 เดือนผ่านไป แรงกดดันทางการเมืองยังอยู่ และดูเหมือนความไม่พอใจต่อรัฐบาลจะทวีความรุนแรงขึ้น-ขยายวงไปสู่ผู้คนในแวดวงใหม่ ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายแก้วิกฤตโควิดและการบริหารจัดการวัคซีนของรัฐบาล แต่ถึงนาทีนี้ชัยวุฒิไม่เชื่อว่าความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจะเกิดขึ้นในเร็ววัน
"ในการบริหารราชการแผ่นดิน มันจะเปลี่ยนนายกฯ หรือไม่เปลี่ยนนายกฯ ไม่ได้ทำให้การแก้โควิดดีขึ้นเลย ผมมองว่าสิ่งที่รัฐบาลทำเพื่อแก้โควิด มันก็ทำดีที่สุดแล้ว"
รัฐมนตรีพรรคแกนนำรัฐบาลกล่าวต่อไปว่า ต่อให้มีรัฐบาลชุดใหม่ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีวัคซีนใหม่ที่ใครหลายคนต้องการเข้ามา เพราะรัฐบาลนี้ได้เจรจาทุกยี่ห้อแล้ว มีกำหนดส่งมอบแล้ว และเป็นไปตามแผนงาน หรือต่อให้มีรัฐบาลชุดใหม่ ก็ไม่สามารถผลิตหมอมาเพิ่มได้ในเวลา 2-3 เดือนข้างหน้า ในภาวะงานล้นมือของบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ดังนั้นมีวิธีเดียวคือต้องบริหารจัดการสิ่งที่มีอยู่ให้ดีที่สุด
"มีคนพยายามดึงเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องการเมืองเพื่อล้มรัฐบาล เพราะเป็นโอกาสที่เขาจะได้ดิสเครดิตรัฐบาล แล้วตัวเองจะได้กลับมาสู่อำนาจได้" ชัยวุฒิย้ำประโยคนี้หลายครั้งในระหว่างสนทนากับบีบีซีไทย
สยบข่าวลือยุบสภา-ลาออก-เปลี่ยนตัวนายกฯ
แม้เป็น 1 ใน 36 นักการเมืองที่ได้ร่วมวงฝ่ายบริหารประเทศ และเป็น 1 ใน 26 กรรมการบริหาร พปชร. แต่ชัยวุฒิออกตัวว่า "ไม่ทราบ" และ "ไม่ได้คุยเชิงลึกว่าใครจะถอนตัว" หลังสื่อมวลชนหลายสำนักรายงานตรงกันโดยอ้างคำกล่าวของ พล.อ. ประยุทธ์ ในระหว่างการประชุม ครม. เมื่อ 20 ก.ค. ว่า "ถ้าท่านจะออกจากผมก็แล้วแต่ ผมก็จะทำงานของผมต่อไป ผมไม่ทิ้งคุณ พวกคุณจะทิ้งผมก็ตามใจ"
ข้อวิเคราะห์ของนักการเมืองอาชีพรายนี้คือ ขณะนี้ไม่ใช่สถานการณ์ที่จะมาถอนตัวแล้วล้มรัฐบาล แต่อยู่ในสถานการณ์ที่ต้องทำงานช่วยเหลือประชาชน แล้วทำให้บ้านเมืองเดินหน้า
"ผมไม่เชื่อว่าการถอนตัวของพรรคร่วมรัฐบาลคือทางออกของประเทศ ผมว่ามันจะสร้างปัญหาใหม่ที่หนักกว่า" รัฐมนตรีวัยครึ่งร้อยให้ความเห็น
แกนนำ พปชร. ยังยก 2 เหตุผลขึ้นสนับสนุนสมมติฐานการเมืองของตัวเอง พร้อมสยบทุกข่าวลือว่าด้วยการยุบสภา-ลาออก-เปลี่ยนตัวนายกฯ
- ภายใต้วิกฤตโควิด ชัยวุฒิไม่เชื่อว่าการเลือกตั้งทั่วไปจะเกิดขึ้นได้ หากจัดการเลือกตั้ง สถานการณ์การระบาดจะยิ่งหนักขึ้นเป็น 10 เท่า เพราะผู้สมัครต้องเดินหาเสียง และประชาชนต้องกลับบ้านไปใช้สิทธิเลือกตั้ง
- ภายใต้โครงสร้างการเมืองแบบปัจจุบัน ชัยวุฒิไม่เชื่อว่าจะจัดรัฐบาลผสมชุดใหม่ที่เข้มแข็งได้ ด้วยจำนวน ส.ส. ที่มีอยู่ จะเกิดการต่อรองตำแหน่งกันใหม่ ดังนั้น "โดยโครงสร้างทางการเมืองของพรรคร่วมฯ ยังมีความลงตัวในการประสานงาน ส่วนในเรื่องที่มีไอ้ลูกพรรคไปแซวกันมั่ง นั่นเป็นสิทธิส่วนบุคคลเขา บางคนก็หิวแสงบ้าง อยากดังบ้าง อยากเล่นกระแส มันเป็นเรื่องส่วนบุคคล ไม่ใช่เรื่องของพรรค"
ส่วนเสียงลือเสียงเล่าอ้างในหมู่คนการเมืองพรรคร่วมรัฐบาลที่ว่า พล.อ. ประยุทธ์ ไม่อยู่ในสถานะที่มีอิสระในการตัดสินใจทางการเมืองได้เอง จนถูกตีความไปต่าง ๆ นานาถึง "อำนาจพิเศษ" ที่อยู่เบื้องหลังผู้นำรัฐบาลนั้น
รัฐมนตรีสังกัด พปชร. ถอดรหัสว่า พล.อ. ประยุทธ์มาจากการเลือกของสมาชิกรัฐสภา แม้ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค แต่ พปชร. ก็เสนอชื่อและได้รับการสนับสนุนจากพรรคร่วมฯ ให้เป็นนายกฯ หลังการเลือกตั้ง 2562 ซึ่งในการตัดสินใจหรือการบริหารราชการแผ่นดิน ก็ต้องคุยกับพรรคที่กำกับดูแลกระทรวงนั้น ๆ
"ดังนั้นในทางการเมือง ท่านไม่มีอำนาจเด็ดขาด เพราะมีการทำงานในระบบพรรคร่วมรัฐบาลหลายพรรค" ชัยวุฒิชี้ให้เห็นส่วนแบ่งอำนาจของรัฐบาลและว่า ในการบริหารราชการช่วงโควิด การตัดสินใจของนายกฯ ไม่ได้ตัดสินใจคนเดียว แต่มีทีมที่ปรึกษา แพทย์ และนักวิชาการที่นายกฯ เชิญมา ช่วยคิดช่วยให้ข้อมูล
เชื่อคนไทยไม่บ้าตามโซเชียล ประเทศไทยต้องยืนอยู่บน 3 สถาบันหลัก
ท้ายที่สุดเมื่อให้ประเมินความเคลื่อนไหวของขบวนการประท้วงขับไล่รัฐบาล กับข้อเรียกร้องเขย่าระบบโครงสร้างอำนาจหลักของไทย
1 ใน 3 ข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมนำโดยกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า "เยาวชนปลดแอก" ในการเคลื่อนไหวครั้งล่าสุดเมื่อ 18 ก.ค. คือให้ปรับลดงบประมาณของสถาบันฯ และกองทัพ เพื่อนำงบไปช่วยเหลือประชาชนช่วงการระบาดของโควิด-19
ชัยวุฒิเห็นว่า "เป็นความมุ่งหวังของเขาที่จะดิสเครดิตสิ่งที่เขาไม่ชอบ ก็เป็นเรื่องปกติ นี่เป็นเรื่องความเชื่อทางการเมือง ความคิดเขา ผมก็ไม่อยากวิจารณ์"
เขาตั้งข้อสังเกตว่า การตั้งงบประมาณให้กองทัพเป็นมีทุกปี และสมัยพรรคเพื่อไทย (พท.) เป็นรัฐบาลก็เสนอตั้งงบจัดซื้ออาวุธเป็นปกติ จึงไม่เข้าใจทำไมถึงมีการปั่นเรื่องนี้ จนไปไกลเกินข้อเท็จจริง
ในฐานะที่เล่นการเมืองมาครึ่งชีวิต ผ่านการเป็นผู้แทนฯ 3 สมัย ชัยวุฒิยืนกรานว่าไม่ได้มีแนวคิดแบบฝ่ายอนุรักษนิยม แต่เป็นคนหัวก้าวหน้าที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงและอยากทำการเมืองให้ดี
"ผมอยู่มานาน ผมรู้ว่าการเมืองคืออะไร ประชาชนคิดอย่างไร... พวกที่บอกว่าก้าวหน้าในปัจจุบัน ผมว่าเกินขอบเขตที่คนไทยจะเข้าใจ เพราะเขาไม่เข้าใจคนไทย"
"ตอนนี้ประชาชนลำบากเพราะโควิด เขาอาจลำบาก ทุกข์ยาก อยากให้รัฐบาลช่วยเขา แต่สุดท้ายเขาก็ต้องรู้ว่าประเทศไทยเราต้องยืนอยู่บนความเป็นชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เราก็ต้องช่วยกัน เขาไม่ได้ไปบ้าตามโซเชียลมีเดียทุกคนหรอก" ชายผู้อยู่ในแวดวงการเมือง 2 ทศวรรษกล่าวทิ้งท้าย