รัฐประหารเมียนมา : กระบอกเสียงกองทัพยืนยัน ผบ. สูงสุด เข้ารักษาอำนาจรัฐแล้ว
สำนักข่าวเมียวดี สื่อกระบอกเสียงของกองทัพรายงานว่า ผู้บัญชาการทหารสูงสุดได้เข้ารักษาอำนาจรัฐแล้ว
แถลงการณ์ระบุด้วยว่าการควบคุมตัวบุคคลเกิดจากความไม่มั่นคงทางการเมือง หลังพบความผิดปกติในการลงทะเบียนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในระหว่างการเลือกตั้งทั่วไป
กองทัพยังประกาศภาวะฉุกเฉินทั่วประเทศเป็นเวลา 1 ปี และแต่งตั้ง พล.อ. มิน ส่วย รองประธานาธิบดี เป็นประธานาธิบดีชั่วคราว
สำหรับ พล.อ. มินต์ ส่วย เป็นพันธมิตรคนสำคัญของ พล.อ.อาวุโส ตาน ฉ่วย อดีตผู้นำรัฐบาลเผด็จการทหารเมียนมา
แถลงการณ์ดังกล่าวมีขึ้น ไม่กี่ชั่วโมงหลักโฆษกของพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (เอ็นแอลดี - NLD) เปิดเผยกับบีบีซีว่า นางออง ซาน ซู จี ผู้นำของพรรคถูกจับตัวไปท่ามกลางความขัดแย้งระหว่าง รัฐบาลพลเรือนและกองทัพ
พรรคเอ็นแอลดี ภายใต้การนำของนางซู จี ที่ปรึกษาแห่งรัฐ กำชัยชนะในการเลือกตั้งเมื่อ 8 พ.ย. 2563 อย่างถล่มทลาย ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลสมัยที่ 2 โดยคว้าที่นั่งในสภาไปถึง 346 ที่นั่ง แบ่งเป็น สภาผู้แทนราษฎร หรือสภาล่าง 258 ที่นั่ง (เพิ่มขึ้นจากเดิม 3 ที่นั่ง) และสภาชนชาติ หรือสภาสูง 138 ที่นั่ง (เพิ่มขึ้นจากเดิม 3 ที่นั่ง) ยัดเยียดสถานะฝ่ายค้านให้แก่พรรคสหสามัคคีและการพัฒนา (ยูเอสดีพี - USDP) ซึ่งได้รับการสนับสนุนของกองทัพอีกหน โดยยูเอสดีพีมีเสียงในสภาล่าง 26 ที่นั่ง และสภาชนชาติ 7 ที่นั่ง (ลดลงจากเดิมสภาละ 4 ที่นั่ง)
แต่กองทัพระบุว่า มีการทุจริตการเลือกตั้งและเรียกร้องให้รัฐบาลเลื่อนการเปิดการประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรก ที่นัดไว้วันที่ 1 ก.พ. ออกไปก่อน
เมียว ยุ้นต์ กล่าวกับ บีบีซีว่า นางซู จี ประธานาธิบดี วิน มินต์ และผู้นำรัฐบาลอีกหลายคน "ถูกนำตัวไป" ตั้งแต่ช่วงเริ่มวันใหม่ของวันจันทร์ที่ 1 ก.พ.
โจนาธาน เฮด ผู้สื่อข่าวบีบีซีประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รายงานว่า มีทหารอยู่ตามท้องถนนในกรุงเนปิดอว์ และเมืองหลวงเก่า คือ นครย่างกุ้ง
บีบีซีแผนกภาษาพม่ารายงานว่า การสื่อสารทางโทรศัพท์และอินเทอร์เนตถูกตัดขาด และอ้างสมาชิกครอบครัวของรัฐมนตรีหลายคนที่ดูแลแต่ละภูมิภาคว่า มีทหารมาพาตัวนักการเมืองเหล่านั้นไปจากบ้านพัก
เมื่อ 30 ม.ค. กองทัพเมียนมาออกแถลงการณ์สยบข่าวลือการก่อรัฐประหารที่ดังหนาหูตลอดสัปดาห์ โดยยืนยันว่าจะมุ่งมั่น "ปกป้องรัฐธรรมนูญและปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด"
แถลงการณ์ของกองทัพเมียนมาถูกเผยแพร่สองวันก่อนการประชุมรัฐสภาเมียนมาชุดใหม่กำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 1 ก.พ.
ในแถลงการณ์ฉบับนี้ยังอ้างถึงถ้อยแถลงของ พล.อ.มิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เมื่อเร็ว ๆ นี้ โดยชี้ว่าการกล่าวหากองทัพว่าต้องการยกเลิกรัฐธรรมนูญ เป็นข้อสันนิษฐานที่ไม่อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริงขององค์กรบางแห่งและสื่อบางสำนัก
ด้านรัฐบาลพลเรือนเมียนมาก็ออกแถลงการณ์เช่นกัน โดยระบุเพียงว่า "ท่าทีของกองทัพคือคำอธิบายที่เหมาะสม"
ทว่า เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 31 ม.ค. กองทัพเมียนมาออกแถลงการณ์ เรียกร้องให้บรรดานักการทูตต่างชาติในเมียนมาอย่าเพิ่งคาดเดาอะไรเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองที่เกิดขึ้นในขณะนี้ และขอให้นานาชาติอย่ายอมรับผลการเลือกตั้งที่ผ่านมาว่า "เป็นเรื่องปกติ" โดยไม่เข้าใจถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น และไม่ตรวจสอบตัวเลข และบัญชีต่าง ๆ ซึ่งกองทัพได้เปิดเผยไว้ให้สื่อในประเทศและต่างชาติได้ตรวจสอบเมื่อ 26 ม.ค. ศกนี้
"กองทัพคือผู้ที่ออกมาเรียกร้องให้ยึดตามแนวทางประชาธิปไตย และขอร้องให้ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และรัฐบาลที่มีพรรคเอ็นแอลดีเป็นแกนนำให้แสดงผลนับคะแนนการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการโดย กกต. ทว่าจนถึงบัดนี้ พวกเขาก็ยังไม่ออกมา กองทัพขอปฏิเสธอย่างแข็งขันว่าไม่ได้ขัดขวางกระบวนการเปลี่ยนผ่านทางประชาธิปไตย แท้จริงแล้วพวกเราคือผู้ที่กำหนดเส้นทางให้ประเทศเดินหน้าสู่กระบวนการประชาธิปไตยตั้งแต่ที่เราร่างรัฐธรรมนูญเมื่อปี 2008 (2551) ซึ่งได้วางแนวทางการปฏิรูปอย่างเป็นขั้นตอน และการเปลี่ยนผ่านอย่างค่อยเป็นค่อยไปสู่การปกครอง ระบอบประชาธิปไตย" แถลงการณ์ระบุ
กองทัพเมียนมาระบุว่า ในการเรียกร้องต่อกกต. และรัฐบาลที่มีพรรคเอ็นแอลดีเป็นแกนนำ สิ่งที่กองทัพคัดค้าน ไม่ใช่ผลของการเลือกตั้ง ก่อนหน้านี้ ทำไมรัฐบาลของ ฯพณฯ เต็ง เส่ง จึงยอมรับต่อผลการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปี 2015 ที่ พรรคเอ็นแอลดีมีชัยอย่างท่วมท้น กองทัพเห็นว่า "กระบวนการ"การเลือกตั้งปี 2020 ไม่เป็นที่ยอมรับ เนื่องด้วยมีความน่าเชื่อได้ว่ามีการโกงคะแนนกว่า 10.5 ล้านเสียง เสียงเหล่านี้มาจากผู้มีสิทธิ์ที่ไม่มีตัวตนจริง จะมีประเทศไหนในโลกของบรรดาทูตานุทูตในเมียนมาจะยอมรับการโกงครั้งมโหฬารเช่นนี้หรือ
"เห็นอย่างชัดเจนว่า มีคณะทูตบางประเทศในเมียนมาออกแถลงการณ์โดยไม่มีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งกองทัพขอเรียกร้องพวกท่านให้พิจารณาข้อเท็จจริงอีกครั้ง ทบทวนข้อมูล และผลที่ตามมาของแถลงการณ์นี้ กองทัพจะทำทุกอย่างที่เป็นไปได้ในการยึดมั่นต่อแนวทางปฏิบัติในระบอบประชาธิปไตยของการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรม ตามที่ได้กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญปี 2008 ทั้งนี้ก็เพื่อ สันติภาพที่ยั่งยืน การกินดีอยู่ดี และความผาสุกของประชาชนเมียนมาทุกคน"
เรื่องน่ารู้ของออง ซาน ซู จี สตรีวัย 75 ปี
- เธอเป็นลูกสาวของนายพล ออง ซาน วีรบุรุษนักสู้เพื่อเอกราช เขาถูกลอบสังหารเมื่อเธออายุเพียง 2 ขวบ ก่อนเมียนมาได้รับเอกราชจากอังกฤษเมื่อปี 1948
- นางซู จี เคยได้รับการยกย่องว่าเป็น ผู้นำด้านสิทธิมนุษยชน นักเคลื่อนไหวผู้ยึดมั่นในหลักการ ผู้ยอมสูญเสียอิสรภาพ ถูกคุมขังเกือบ 15 ปี ระหว่างปี 1989-2010 เพื่อท้าทายบรรดานายพลผู้ไร้ความปรานีที่ปกครองเมียนมามาหลายทศวรรษ
- ปี 1991 เธอได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ขณะที่ถูกจองจำในบ้านพักของตัวเองในนครย่างกุ้ง โดยได้รับการเชิดชูว่าเป็น "ตัวอย่างที่โดดเด่นของพลกำลังของคนไร้อำนาจ"
- พ.ย. 2015 เธอนำพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (เอ็นแอลดี - NLD) ชนะการเลือกตั้งทั่วไปอย่างถล่มทลาย ซึ่งถือเป็นการเลือกตั้งทั่วไปที่แข่งกันอย่างเปิดเผยเสรีครั้งแรกในรอบ 25 ปี ทว่า รัฐธรรมนูญของประเทศเขียนห้ามไม่ให้เธอเป็นประธานาธิบดี เพราะเธอมีทายาทที่ถือสัญชาติอื่น ทว่าในทางปฏิบัติ เธอคือผู้นำประเทศตัวจริง
- หลังเข้าบริหารประเทศ ภาวะผู้นำของเธอถูกท้าทายด้วยปัญหามุสลิมโรฮิงญาที่เป็นชนกลุ่มน้อยของประเทศ ในปี 2017 ชาวโรงฮิงญานับแสนคนต้องอพยพไปบังคลาเทศ ภายหลังกองทัพเมียนมาส่งทหารเข้าปราบปรามเพื่อปราบปรามกลุ่มติดอาวุธที่เข้าถล่มสถานีตำรวจหลายแห่งในรัฐยะไข่
- ผู้สนับสนุนเธอในเวทีนานาชาติในอดีตกล่าวหาเธอว่า ละเลย ไม่ใส่ใจที่จะสกัดกั้นการสังหารและข่มขืนชาวโรฮิงญา ที่เกือบเรียกได้ว่าเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เพราะเธอปฏิเสธที่จะประณามกองทัพที่ทรงอำนาจ และไม่ยอมรับว่ามีการสังหารหมู่เกิดขึ้นในประเทศ
- แต่สำหรับในประเทศแล้ว นางซู จี ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็น "สุภาพสตรี" ยังได้รับความนิยมอย่างสูงในหมู่ชาวพุทธ ที่เป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ และแทบไม่ใส่ใจต่อชีวิตความเป็นอยู่ของชาวโรฮิงญา
เส้นทางข่าวลือรัฐประหาร กับความพยายามสกัดรถถัง
ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา สถานการณ์การเมืองในเมียนมาเข้าสู่ภาวะตึงเครียด ท่ามกลางข่าวลือเรื่องการก่อรัฐประหารของกองทัพ และการจับตามองด้วยความกังวลจากนานาประเทศ
- 26 ม.ค. โฆษกกองทัพเมียนมาไม่ปฏิเสธความเป็นไปได้ที่กองทัพจะเข้ายึดอำนาจ เพื่อจัดการกับสิ่งที่เขาเรียกว่า "วิกฤตทางการเมือง"
- 27 ม.ค. พล.อ. อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของเมียนมา กล่าวในงานให้โอวาทนักเรียนเตรียมทหารแห่งวิทยาลัยป้องกันประเทศของกระทรวงกลาโหม ถึงความเป็นไปได้ในการยกเลิกรัฐธรรมนูญของประเทศ โดยบอกว่ารัฐธรรมนูญคือกฎหมายแม่ของกฎหมายทั้งปวง แต่ "คงจำเป็นต้องยกเลิกรัฐธรรมนูญ หากคนไม่ปฏิบัติตาม" ทั้งนี้ถ้อยแถลงของ พล.อ. อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ถูกเผยแพร่ในหนังสือพิมพ์เมียวดีฉบับวันรุ่งขึ้นด้วย
- 28 ม.ค. มีการประชุมร่วมกันระหว่างตัวแทนรัฐบาลกับคณะทหาร ที่กรุงเนปิดอว์ ก่อนที่โฆษกพรรคเอ็นแอลดีจะออกมาเปิดเผยกับรอยเตอร์สว่า "ไม่ประสบความสำเร็จ" ในการหาทางออกจากวิกฤตการเมืองที่เกิดขึ้น
- 29 ม.ค. ประชาชนผู้สนับสนุนพรรคยูเอสดีพีหลายร้อยคนชุมนุมประท้วง กกต. ทั้งที่กรุงเนปิดอว์และกรุงย่างกุ้ง แต่ยังไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บและไม่มีรายงานการใช้ความรุนแรง
- 1 ก.พ. โฆษกพรรคเอ็นแอลดีกล่าวกับบีบีซีว่า นาง ซู จี และ ผู้นำของพรรคหลายคนถูกพาตัวจากบ้านพักไปตั้งแต่ช่วงรุ่งสาง
"กองทัพรอต่อไปได้อีก 5 ปี ไม่ได้"
สุภัตรา ภูมิประภาส นักแปลหนังสือด้านการเมืองและประวัติศาสตร์ของเมียนมาหลายเล่ม กล่าวกับ บีบีซีไทยว่า ผลการเลือกตั้งที่ออกมาสะท้อนให้เห็นว่า คะแนนนิยมในตัวนางซู จี และพรคของเธอยังมีอยู่สูง แม้นานาชาติมองว่า คะแนนนิยมในตัวเธอลดลง
"การมีเสียงข้างมากในสภาฯ เป็นสมัยที่ 2 รัฐบาลภายใต้การนำของเอ็นแอลดีสจะเดินหน้าผลักดันกฎหมายเพื่อลดบทบาทของกองทัพต่อไปได้ แะจะทำให้กองทัพอ่อนแอลง กองทัพรอต่อไปได้อีก 5 ปี ไม่ได้" สุภัตรา กล่าว และเสริมว่า การออกมาปฏิเสธข่าวการไม่ทำรัฐประหารก่อนหน้านี้เป็น "การซื้อเวลา"