รัสเซีย ยูเครน : นักวิชาการสื่อกังขาบทบาท ททบ.5 หลังสั่งห้ามการรายงานข่าวสงครามรัสเซีย-ยูเครน
- Author, วัชชิรานนท์ ทองเทพ
- Role, ผู้สื่อข่าวบีบีซีไทย
นักวิชาการด้านสื่อมวลชนมองกรณีสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 หรือ ททบ.5 เซ็นเซอร์การรายงานข่าวสงครามรัสเซีย-ยูเครน หลังผู้บริหารเข้าพบทูตรัสเซีย สะท้อนแนวคิดราชการไทยมีทิศทางนำเสนอข่าวสารใกล้ชิดมิตรเผด็จการมากขึ้น พร้อมตั้งคำถามว่ายังคงทำหน้าที่เป็นสื่อสาธารณะหรือไม่
ขณะที่กลุ่มท็อปนิวส์ประกาศว่าเตรียมยุติความร่วมมือ ททบ.5 ในวันที่ 31 มี.ค. หลังถูกตัดสัญญาณขณะรายงานข่าวสงครามในยูเครน โดยอ้างว่าสถานีโทรทัศน์มีนโยบายห้ามนำเสนอข่าวสงครามรัสเซีย-ยูเครน
ทว่า ล่าสุดวันนี้ (1 เม.ย.) นายสันติสุข มะโรงศรี หนึ่งในผู้ดำเนินรายการจากกลุ่มท็อปนิวส์โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก โดยส่วนหนึ่งระบุว่า "ทีมผู้ประกาศท็อปนิวส์" ยังทำรายการต่อ ออกอากาศช่อง 5 เหมือนเดิม ไม่มีการห้ามทำข่าวรัสเซีย-ยูเครน
ก่อนหน้านี้ ในรายการ "TOP บ่ายสาม" น.ส. อัญชะลี ไพรีรัก หนึ่งในผู้ดำเนินรายการข่าวจากกลุ่มท้อปนิวส์ว่า สัญญาความร่วมมือกับ ททบ.5 จะสิ้นสุดลงในสิ้นเดือน มี.ค. หลังจากลงนามความร่วมมือในการรายงานข่าวระหว่าง ททบ.5 และบริษัท กาแล็กซี่ มัลติมีเดีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด ซึ่งมีกลุ่มผู้ผลิตจากท็อปนิวส์ ของนายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม อดีตแกนนำกลุ่ม คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ตั้งแต่เดือน ก.ย. ปีที่แล้ว
"เอาล่ะค่ะ เราจะเจอกันอีกไม่กี่วันเท่านั้นนะคะ" น.ส. อัญชะลี ไพรีรัก หนึ่งในผู้ดำเนินรายการข่าว "เที่ยง ททบ.5" กล่าวทักทายผู้ชมเมื่อวันที่ 29 มี.ค. หนึ่งวันหลังจากที่รายการนี้ถูกตัดสัญญาณอย่างกะทันหัน ในเวลา 12.51 น. เมื่อ 28 มี.ค.ที่ผ่านมา
ผู้ดำเนินรายการหญิงแห่งท็อปนิวส์อธิบายเรื่องนี้เมื่อวันที่ 29 มี.ค. ว่า ทางช่อง 5 มีนโยบายห้ามนำเสนอข่าวสงครามรัสเซีย-ยูเครนมาตั้งแต่ช่วงเที่ยงวันศุกร์ ที่ 25 มี.ค. แต่ทีมงานเห็นว่าสมควรนำเสนอข่าวตามหน้าที่ เพราะมีความเคลื่อนไหวสำคัญเกี่ยวกับการเจรจาระหว่างยูเครนและรัสเซีย จึงทำให้ถูกตัดสัญญาณออกเป็นช่วง ๆ
"เราไม่ใช่คู่ขัดแย้งกับใคร ทำตามหน้าที่ที่เราต้องทำ ทำหน้าที่เล่าข่าวตรงไปตรงมา" เธออธิบาย
อย่างไรก็ตาม วันที่ 30 มี.ค. พล.อ. รังษี ปฏิเสธที่จะพูดถึงเรื่องการสั่งห้ามการเสนอข่าวรัสเซีย-ยูเครน โดยกล่าวเพียงสั้น ๆ ว่า สื่อต้องไปหาข้อมูลเอง เขาพูดอะไรไม่ได้ พูดไปก็ไม่ดีกับใครทั้งสิ้น
ต่อมาในวันที่ 31 มี.ค. ศูนย์ประชาสัมพันธ์กองทัพบก ออกแถลงการณ์ "ขออภัยประชาชน" ที่ได้เกิดความไม่เรียบร้อยในกระบวนการจัดการข้อมูลข่าวสารของสถานี และการขัดข้องทางด้านเทคนิคในการออกอากาศรายการข่าว เมื่อวันที่ 28 มี.ค. ที่ผ่านมา พร้อมยืนยันว่า จะเป็นสื่อเพื่อความมั่นคงของรัฐและความปลอดภัยสาธารณะ นำเสนอข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนและสังคม รวมทั้งกำหนดแนวทางปฏิบัติที่สมดุล
ปมการลาออกของ ผอ. ททบ. 5 ยังไม่ชัดเจน
จนถึงขณะนี้ ยังไม่มีการชี้แจงเหตุผลจากกองทัพบกอย่างชัดเจนถึงการมีคำสั่งจากพล.อ. ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในฐานะประธานคณะกรรมการ (บอร์ด) ททบ.5 ให้ พล.อ. รังษี กิติญานทรัพย์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ททบ.5 พ้นจากหน้าที่ โดยให้ พล.ท. วิสันติ สระศรีดา อดีตเจ้ากรมยุทธศึกษาทหารบก ทำหน้าที่แทน ตั้งแต่วันที่ 7 เม.ย. เป็นต้นไป
ทว่า พล.อ.รังษี กล่าวกับสื่อมวลชนว่า "ไม่ใช่การปลด" เพราะเขาเป็นผู้ทำหนังสืออนุมัติถึง ผบ.ทบ. ขอพ้นหน้าที่ โดยให้เหตุผลว่าเป็นความจำเป็นส่วนตัว
คำสั่งดังกล่าวมีขึ้น หลังจากสังคมวิพากษ์วิจารณ์ ททบ.5 อย่างหนัก นับตั้งแต่คณะผู้บริหาร ททบ.5 เข้าพบเอกอัครราชทูตรัสเซียประจำประเทศไทยเมื่อวันที่ 21 มี.ค. ที่ผ่านมา โดย พล.อ. รังษี ให้สัมภาษณ์ในรายการ "เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand" ทางช่อง 9 MCOT HD วันที่ 25 มี.ค. ว่า เดินทางเข้าพบทูตรัสเซียตามคำเชิญที่มีนายไพศาล พืชมงคล อดีตที่ปรึกษา พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ ซึ่งเป็นผู้ประสานงานคนเดียวกันกับกรณีการลงนามความร่วมมือด้านข่าวสารกับอิหร่านก่อนหน้านี้
สาระสำคัญของการหารือกับทูตรัสเซียในครั้งนั้นคือ การแสวงหาความร่วมมือด้านข้อมูลข่าวสารเพื่อสร้างความสมดุลในการรายงานข่าวที่ ททบ.5 พึ่งพาเฉพาะสำนักข่าวจากชาติตะวันตกอย่าง รอยเตอร์ เพียงแห่งเดียว โดยคาดว่าจะมีการลงนามความร่วมมืออีกครั้งในเวลาต่อมา
แต่ก่อนจะถึงวันที่ ททบ.5 จะจัดแถลงข่าวความร่วมมือดังกล่าวในวันที่ 24 มี.ค. ผู้สื่อข่าวซึ่งได้รับแจ้งหมายแถลงข่าวเมื่อวันที่ 23 มี.ค. กลับได้รับแจ้งจาก ททบ.5 ขอยกเลิกการแถลงข่าวดังกล่าว ท่ามกลางกระแสข่าวว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม แสดงความกังวลถึงความไม่เหมาะสม และเกรงจะถูกนำไปขยายผลทางการเมืองทั้งภายในและนอกประเทศ
ผศ.ดร.พรรษาสิริ กุหลาบ อาจารย์ภาควิชาวารสารสนเทศ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอกบีบีซีไทยว่า จากกระแสที่สังคมมีความประหลาดใจที่ ททบ. 5 มีความร่วมมือกับจีนและอิหร่านไปแล้วก่อนหน้านี้ อาจจะทำให้เรื่องนี้เป็นประเด็นอ่อนไหวจนทำให้สถานีฯ ไม่ต้องการแตะต้อง แต่หากพิจารณาอีกด้าน นี่อาจจะสะท้อนให้เห็นว่า มีความพยายามในเชิงการทูตหรือการเมืองระหว่างประเทศของประเทศที่เกี่ยวข้องเพื่อพยายามใช้ปกป้องผลประโยชน์
บทบาท ททบ.5 เป็น "สื่อมวลชน" หรือ "กระบอกเสียงของรัฐ"
ภาพการตัดสัญญาณรายการ "เที่ยง ททบ.5" ของวันที่ 28 มี.ค. ที่ผ่านมา ที่เล่าถึงสถานการณ์ในยูเครน เป็นเวลากว่า 8 นาที ก่อนจะตัดเข้ารายการปกติของสถานีอาจมองได้ว่าเป็นการแทรกแซงสื่อ ซึ่ง ผศ.ดร.พรรษาสิริ อธิบายว่า "นี่เป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นในสื่อมวลชนยุคปัจจุบัน ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวของ ททบ.5 ก็สะท้อนปัญหาสำคัญในสังคมสื่อภายใต้กฎหมายปัจจุบัน"
เธอบอกว่า สิ่งที่สังคมมองว่าเป็นการแทรกแซงความเป็นอิสระของกองบรรณาธิการ แต่หน่วยงานรัฐซึ่งเป็นเจ้าของสื่ออาจบอกว่าเป็นการกระทำที่ชอบธรรมแล้วเพราะไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ ภารกิจขององค์กร หรือไม่ในกรณีล่าสุด อ้างว่าต้องรักษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
แต่เมื่อพิจารณาในเชิงกฎหมายรัฐธรรมนูญแล้ว ในกรณีสื่อในสังกัดรัฐ ก็เปิดช่องให้หน่วยงานต้นสังกัดสามารถแทรกแซงได้ นักวิชาการสื่อรายนี้ยกตัวอย่าง รัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 35 วรรค 6 ที่ระบุว่า "เจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งปฏิบัติหน้าที่สื่อมวลชนย่อมมีเสรีภาพตามวรรคหนึ่ง แต่ให้คำนึงถึงวัตถุประสงค์และภารกิจของหน่วยงานที่ตนสังกัดด้วย"
"อย่างไรก็ตาม โดยหลักการเราไม่สามารถจะใช้นิยามสื่อมวลชน หรือ journalist ในสังคมประชาธิปไตย กับช่องนี้ได้ รวมทั้ง เอ็นบีที " ผศ.ดร.พรรษาสิริ กล่าว
สื่อกองทัพกำลังเข้าใกล้ชิดรัฐเผด็จการมากขึ้นหรือไม่
นอกจากคำถามของสังคมเกี่ยวกับความร่วมมือด้านข้อมูลข่าวสารระหว่าง ททบ.5 และทางการรัสเซีย อิหร่านและจีนแล้ว รศ.พิจิตรา ศุภสวัสดิ์กุล หัวหน้าหน่วยปฏิบัติการวิจัยนโยบายสื่อ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยังตั้งข้อสังเกตว่า ระยะหลัง ๆ ทิศทางนโยบายต่างประเทศของไทย ดูจะเป็นมิตรกับประเทศที่มีรูปแบบการปกครองส่อไปในทางเผด็จการมากขึ้น และอาจจะมีการใช้สื่อเป็นเครื่องมือด้วย
"ททบ. 5 เป็นสื่อสังกัดกองทัพบก วัฒนธรรมองค์กรและสายงานบังคับบัญชามาจากพื้นฐานของกองทัพและผู้บริหารก็เป็นข้าราชการ จึงเป็นไปได้ยากที่จะวางตัวให้มีวัฒนธรรมองค์กรเป็นเหมือนกับสำนักข่าวอื่น ๆ และรายงานข่าวได้อย่างเสรี" รศ.พิจิตรา กล่าว
อดีต ผอ. ททบ.5 เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนในวันที่ 24 มี.ค. ที่ผ่านมาว่า ททบ.5 จะเสนอข่าวตามเนื้อผ้า เที่ยงตรงขึ้น โดยไม่ต้องการยุ่งกับการเมือง
"กองทัพบกยุคนี้ไม่ได้ยุ่งกับการเมือง โดยเฉพาะ ผบ.ทบ.จะเห็นได้ว่าไม่เคยพูดเรื่องการเมืองเลย ทหารยุคนี้เป็นทหารที่ค่อนข้างห่างการเมือง ผมตรึกตรองแล้วว่าสิ่งที่ทำแล้วประชาชนได้ประโยชน์ด้านข่าวสาร ผบ.ทบ.ก็ไม่เคยสั่งการอะไร เวลาผมทำอะไรก็จะรายงานท่านในฐานะประธานบอร์ด ซึ่งการไปพบทูตแต่ละประเทศก็จะเรียนท่านว่าไปแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ท่านก็ไม่ได้ถามว่าไปทำไม มีรายละเอียดอย่างไร"
จากกรณีที่กองทัพเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง รวมถึงการมีทูตรัสเซียเข้ามาหารือเรื่องความร่วมมือด้านข้อมูลข่าวสาร หัวหน้าหน่วยปฏิบัติการวิจัยนโยบายสื่อ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ มองว่า ททบ.5 เป็น "เครื่องมือในการโฆษณาชวนเชื่อ" โดยเหตุการณ์ที่ตอกย้ำแนวความคิดดังกล่าว มาจากท่าทีที่เปลี่ยนไปหลังจากที่คณะผู้บริหาร ททบ.5 ได้เข้าหารือกับทางการยูเครน แล้วมีนโยบายว่าจะไม่รายงานข่าวความขัดแย้งระหว่างยูเครนกับรัสเซียเลย
"กลับกลายเป็นว่า ททบ.5 ทำหน้าที่สำนักข่าวอย่างไม่ถูกต้อง นอกจากตัวเองจะเป็นเครื่องมือของการโฆษณาชวนเชื่อแล้ว ยังมีการเซ็นเซอร์ตัวเองด้วยการปิดหูปิดตา ทั้ง ๆ ที่เป็นประเด็นหลักของกระแสโลกที่คนในสังคมไทยต้องรู้" เธอกล่าว
ข้อกังขาต่อมาตรฐานสื่อ "กลุ่มท็อปนิวส์"
แม้ว่าบริษัท กาแล็กซี่ มัลติมีเดีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด จะยุติสัญญาผลิตรายการข่าวให้กับ ททบ.5 ไปแล้วในวันนี้ (31 มี.ค.) เร็วกว่ากำหนดเดิม แต่การคัดเลือกบริษัทดังกล่าวเข้ามาเป็นผู้ร่วมผลิตรายการข่าวที่ดำเนินไปอย่างรวดเร็วยังเป็นข้อกังขา
ผศ.ดร.พรรษาสิริ ตั้งคำถามว่า ในการคัดเลือกกลุ่มท็อปนิวส์เข้ามานั้น ทาง ททบ.5 ได้ตรวจสอบว่าการรายงานข่าวของกลุ่มดังกล่าวสอดคล้องกับหลักการวารสารศาสตร์หรือไม่ หลายครั้งที่มีการรายงานข่าวที่คลาดเคลื่อนจนกระทบความน่าเชื่อถือขององค์กร อยู่บ่อยครั้ง
รวมทั้งกรณีที่มีผู้ร้องเรียนว่า รายการเล่าข่าวข้น ทาง ททบ. 5 ดำเนินรายการโดย นายกนก รัตน์วงศ์สกุล และนายธีระ ธัญญะไพบูลย์ ที่ออกอากาศเมื่อวันที่ 28 ก.พ.ที่ผ่านมา ได้เผยแพร่คลิปที่อ้างว่าฝ่ายยูเครนจัดฉากศพพลเรือนผู้เสียชีวิตนับร้อยศพจากการถูกทหารรัสเซียรุกราน แต่พบว่าเป็นเฟกนิวส์ เนื่องจากเป็นคลิปการแสดงเชิงสัญลักษณ์เรียกร้องให้สังคมโลกสนใจวิกฤตการณ์ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของดินฟ้าอากาศ ในกรุงเวียนนาของออสเตรีย เมื่อวันที่ 4 ก.พ. 2565 เหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้เกี่ยวข้องใด ๆ กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในยูเครน จนคณะกรรมการจริยธรรมวิชาชีพ สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทยออกมาตักเตือน
นอกจากนี้ นักวิชาการรายนี้ยังตั้งข้อสังเกตว่า เหตุผลของผู้บริหาร ททบ.5 ที่กล่าวไว้เมื่อครั้งที่ลงนามความร่วมมือว่า พันธมิตรใหม่จะทำให้เรตติ้งของสถานีฯ เพิ่มขึ้น ก็ไม่ได้สอดคล้องกับพันธกิจของ ททบ.5 ที่ต้องการเป็นสื่อสาธารณะเพื่อความมั่นคง ในขณะที่องค์กรยังเป็นหน่วยงานรัฐที่ต้องใช้เงินภาษีจากประชาชนอีกด้วย ในขณะเดียวกันกฎหมายยังเปิดช่องให้หารายได้จากการโฆษณาได้
"ที่จริง ททบ.5 ก็มีฝ่ายข่าวอยู่แล้ว ทำไมไม่ส่งเสริมคนในองค์กรให้มีศักยภาพ การใช้งบประมาณในฝ่ายข่าวควรที่จะใช้อย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่ากว่านี้" เธอตั้งคำถาม
ททบ.5 : สื่อทหารกับสิทธิ์พิเศษ
ท่ามกลางการแข่งขันอย่างหนักในอุตสาหกรรมโทรทัศน์และวิทยุที่คิดเป็นเม็ดเงินโฆษณากว่า 6.36 หมื่นล้านบาท ในปี 2564 ในยุคการเปลี่ยนผ่านมาสู่การเป็นสื่อดิจิทัล นอกจาก ททบ.5 จะได้สิทธิในการบริการโทรทัศน์ภาคพื้นดินดิจิทัลแบบไม่ต้องเข้าประมูลร่วมกับกิจการทีวีอื่น ๆ แล้ว ททบ.5 ยังเป็นผู้ให้บริการโครงข่ายทีวีดิจิทัลรายใหญ่ด้วย
ขณะที่ ตาม พ.ร.บ.การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 กำหนดให้ช่อง ททบ.5 ของกองทัพบก จัดอยู่ในใบอนุญาตประกอบกิจการทีวีดิจิทัลประเภทบริการสาธารณะ ประเภทที่ 2 ที่มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยสาธารณะ ซึ่งสามารถหารายได้จากการโฆษณาได้ "เท่าที่เพียงพอต่อการประกอบกิจการโดยไม่แสวงหากำไร"
แต่ในเวลาต่อมา คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้เปลี่ยนเงื่อนไขให้ ททบ.5 สามารถมีโฆษณาได้เฉลี่ยชั่วโมงละ 8-10 นาที หรือใกล้เคียงกับทีวีดิจิทัลประเภทธุรกิจ ที่สามารถมีโฆษณาได้ไม่เกินชั่วโมงละ 12 นาที 30 วินาที
นอกจากกิจการโทรทัศน์แล้ว กองทัพยังคงได้รับสิทธิในการถือครองคลื่นวิทยุต่อไปอีก ภายใต้การขออนุญาตเป็น "สถานีวิทยุเพื่อสาธารณะและความมั่นคง" จากข้อมูลที่รวบรวมโดยสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย กองทัพมีสถานีวิทยุมากถึง 198 สถานี แบ่งเป็น ของกองทัพบก 127 สถานี กองทัพอากาศ 36 สถานี กองทัพเรือ 21 สถานี และกองบัญชาการกองทัพไทย 14 สถานี
ผศ.ดร.พรรษาสิริ เสนอแนะว่า หากเป็นสื่อในสังกัดของกองทัพก็ต้องไม่ใช้ทรัพยากรสาธารณะมาแข่งขัน เพราะเนื้อหาที่นำเสนอเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์และภารกิจของกองทัพ เพื่อส่งเสริมอำนาจของกองทัพ มากกว่าประโยชน์สาธารณะหรือส่งเสริมอำนาจและการมีส่วนร่วมของพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย
"ดังนั้น อย่างแรกคือ ควรคืนคลื่นความถี่มาให้ประชาชน หรือถ้าจะดำเนินงานในฐานะโทรทัศน์บริการสาธารณะ ก็ควรถือประโยชน์ของสาธารณะซึ่งหมายถึงการส่งเสริมอำนาจอธิปไตยของประชาชนเป็นที่ตั้ง มากกว่าการนำเสนอเฉพาะภารกิจและมุมมองที่กองทัพเห็นว่าเป็นประโยชน์"