ศาลอาญาคดีทุจริตฯ สั่งจำคุก "ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร" 3 ปี ผิด ม.157 คดี "บิลลี่" ส่วนข้อหาฆาตกรรมยกฟ้อง
วันนี้ (28 ก.ย.) ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง อ่านคำพิพากษาคดีฆาตกรรม นายพอละจี รักจงเจริญ” หรือ “บิลลี่” นักปกป้องสิทธิมนุษยชนชาวกะเหรี่ยง บ้านบางกลอย อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี โดยตัดสินสั่งจำคุกนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน เป็นเวลา 3 ปี ไม่รอลงอาญา ตามความผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ส่วนข้อกล่าวหาฆาตกรรมบิลลี่ ศาลยกฟ้อง
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยตามแนวทางไต่สวนแล้วเห็นว่า จำเลยที่ 1 หรือ นายชัยวัฒน์ ไม่ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ ไม่นำตัวนายพอละจี พร้อมกับของกลางน้ำผึ้งส่งให้เจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจดำเนินการตามกฎหมาย ซึ่งมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 จึงพิพากษาให้ลงโทษจำคุก 3 ปี ไม่รอลงอาญา ส่วนจำเลยที่เหลืออีก 3 คน ไม่มีเจตนาร่วมและสนับสนุนการกระทำผิด จึงไม่มีความผิดตามข้อกล่าวหานี้
ในข้อหาร่วมกันข่มขืนใจ หน่วงเหนี่ยวหรือกักขังนายพอละจีให้จำยอมโดยกระทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายแก่ชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สิน ยังมีหลักฐานไม่เพียงพอ ทำให้ศาลพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้ง 4 คน
และในข้อหาสุดท้าย ร่วมกันฆ่านายพอละจีโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ผลการตรวจดีเอ็นเอชิ้นส่วนกระดูกขมับข้างซ้ายของวัตถุพยานที่พบใต้น้ำเขื่อนแก่งกระจาน ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นชิ้นส่วนกระดูกของนายพอละจี ทำให้ไม่ครบองค์ประกอบความผิดฐานฆ่าผู้อื่น ศาลยกฟ้องในข้อหานี้ทั้งหมดเช่นกัน
ล่าสุด ศาลอาญาทุจริตฯ ได้ให้ประกันนายชัยวัฒน์ ชั้นอุทธรณ์คดี โดยตีราคาประกัน 800,000 บาท พร้อมกำหนดเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักร
นอกจากนายชัยวัฒน์ พร้อมลูกน้องและทนายความเดินทางมารับฟังคำพิพากษาในวันนี้แล้ว ยังมีนางพิณนภา พฤกษาพรรณ หรือ มึนอ ภรรยาของบิลลี่ เดินทางมาร่วมฟังการอ่านคำพิพากษาคดีในวันนี้ด้วย
ผลการตรวจดีเอ็นเอชิ้นส่วนกระดูกไม่ยืนยันว่าเป็นของบิลลี่
ในเอกสารศาลที่เผยแพร่สื่อมวลชนระบุถึงผลการตรวจไมโทคอนเดรียดีเอ็นเอชิ้นส่วนกระดูก Temporal (กระดูกขมับ) ข้างซ้าย ซึ่งเป็นวัตถุพยานที่พบใต้น้ำในเขื่อนแก่งกระจาน เป็นของบุคคลที่เป็นลูกของนางโพเราะจี หรือเป็นหลานของนางนอกะเต แม่ของนางโพเราะจี เนื่องจากสารพันธุกรรมในไมโทคอนเดรียเป็นพันธุกรรมที่ถ่ายทอดจากแม่สู่ลูก แต่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นของบุคคลใด
ส่วนการวิเคราะห์กระดูกวัตถุพยาน พบว่าเป็นของบุคคลอายุ 20 ปีขึ้นไป ไม่สามารถบอกเพศ ความสูง และเชื้อชาติ ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในการพิสูจน์เอกลักษณ์ของบุคคลได้
การนำแผนผังเครือญาติมาใช้ประกอบผลการตรวจหาดีเอ็นเอแบบไมโทคอนเดรีย คดีนี้ยังมีข้อเท็จจริงที่ไม่เป็นการจำกัดวงอาจทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนได้ และไม่มีแพทย์หรือผู้ตรวจพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์ยืนยันผลได้ว่าชิ้นส่วนกระดูกวัตถุพยานเป็นของนายบิลลี่ จึงฟังไม่ได้แน่ชัดว่ากระดูก Tempora (กระดูกขมับ) ข้างซ้าย วัตถุพยานเป็นของนายพอละจีหรือบิลลี่ มีผลให้ฟังไม่ได้ว่านายบิลลี่ถึงแก่ความตายแล้วหรือไม่ ทำให้ไม่ครบองค์ประกอบความผิดฐานฆ่าผู้อื่น
ส่วนความผิดข้อหาร่วมกันเผาทำลายศพนายพอละจีหรือบิลลี่และเก็บชิ้นส่วนศพที่เหลือจากการเผา เศษเถ้า ถ่านและเศษสิ่งของอื่น ๆ ที่เหลือบรรจุใส่ถังน้ำมัน 200 ลิตร ไปทิ้งใต้น้ำบริเวณสะพานแขวน เขื่อนแก่งกระจาน เพื่อทำลายหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดของตน เพื่ออำพรางคดีแก่ศพหรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น เมื่อพิสูจน์ไม่ได้ว่ากระดูก Temporal (กระดูกขมับ) ข้างซ้าย วัตถุพยานเป็นของนายพอละจีหรือบิลลี่ ประกอบกับโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสามไม่มีประจักษ์พยานและพยานแวดล้อมใกล้ชิดเห็นหรือเชื่อมโยงได้ว่าจำเลยทั้งสี่นำถังน้ำมันของกลางไปทิ้งในเขื่อน จึงไม่มีพยานรับฟังลงโทษจำเลยทั้งสี่
ดังนั้นสำหรับข้อหาร่วมกันฆาตรกรรมนายพอละจีโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ศาลจึงยกฟ้องจำเลยทั้งหมด เนื่องจากไม่สามารถพิสูจน์ได้อย่างสิ้นสงสัยว่าชิ้นส่วนกระโหลกที่พบเป็นของนายบิลลี่
"รัฐบาลและทุกฝ่ายจะต้องรับผิดชอบ"
น.ส.พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผู้อำนวยการมูลนิธิผสานวัฒนธรรม ในฐานะผู้ช่วยทนายฝ่ายภรรยาของนายบิลลี่กล่าวภายหลังการรับฟังคำพิพากษาในวันนี้ว่า "ทุกฝ่ายย่อมมีสิทธิที่จะอุทธรณ์คำสั่งที่ศาลได้พิจารณามา โดยทั้งหมดมี 5 ประเด็นเกี่ยวกับคำฟ้องของคดีนี้ โดยศาลสั่งลงโทษเพียงจำเลยที่ 1 ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในกรณีที่จับกุม ควบคุมตัวนายบิลลี่ พอละจี รักจงเจริญ พร้อมด้วยน้ำผึ้งป่าที่เป็นของต้องห้ามผิดกฎหมายแล้วไม่นำส่งพนักงานสอบสวนที่เกี่ยวข้อง ก็ถือได้ว่า เป็นการกระทำผิดกฎหมายทั้งกฎหมายบ้านเมืองและกฎหมาย"
อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนต่อไป น.ส.พรเพ็ญระบุว่า จำเป็นต้องศึกษาคำสั่งของศาลโดยละเอียดอีกครั้ง เนื่องจากนายบิลลี่ยังคงถือเป็นบุคคลที่เจ้าหน้าที่รัฐทำให้สูญหายไปนั้บตั้งแต่วันที่ 17 เม.ย. 2557 ยังถือว่าเป็นการกระทำผิดทางกฎหมายทั้งกฎหมายอาญาปัจจุบันและกฎหมายอาญาระหว่างประเทศ และทำให้เกิดความเสียหายต่อครอบครัวและชุมชน
"ความรับผิดชอบนี้ย่อมกลับไปที่รัฐบาลและทุกฝ่ายที่จะต้องรับผิดชอบต่อชุมชนและครอบครัวของบิลลี่ ว่าจับกุมแล้วไม่นำส่งตัวให้เจ้าหน้าที่แล้วบิลลี่ไม่กลับมาสู่ครอบครัว" เธอกล่าวย้ำ
เธอบอกว่าจะต้องปรึกษาหารือกันต่อไป อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นคิดว่าจะยื่นอุทธรณ์ต่อศาล
"ไม่มีอะไรจะพูด" นางพิณนภา พฤกษาพรรณ หรือ มึนอ ภรรยาของบิลลี่กล่าวต่อคำถามผู้สื่อข่าวที่สอบถามความรู้สึกภายหลังจากรับฟังคำสั่งศาลในวันนี้
"คืออยากรู้ข้อเท็จจริงว่าบิลลี่หายไปไหนตั้งแต่ปี 2557 จนถึงวันนี้ มันไม่มีคำตอบเลย ก็ไม่รู้จะเอาอะไรไปเชื่อได้" เธอกล่าวสั้น ๆ ก่อนยุติการให้สัมภาษณ์
ที่มาของคดี
ย้อนไปวันที่ 5 ก.ย. 2565 กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้นำตัวอดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน และพวกรวม 4 คน ยื่นฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เขตตลิ่งชัน กทม. เพื่อส่งตัวให้พนักงานอัยการ สำนักงานคดีพิเศษ ในความผิดฐาน "ฆาตกรรมโดยไตร่ตรองไว้ก่อน" บิลลี่-พอละจี รักจงเจริญ นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนชาวปกาเกอะญอ
นอกจากนี้ คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษของดีเอสไอยังแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติม นายชัยวัฒน์กับพวก ในความผิดฐานร่วมกันโดยมีอาวุธข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดไม่กระทำการใดหรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเอง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และ 309 เมื่อ 31 ส.ค. 2565 ณ กองคดีความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ กรมสอบสวนคดีพิเศษ และส่งผลการสอบสวนเพิ่มเติมไปยังพนักงานอัยการเมื่อวันที่ 1 ก.ย. 2565
ด้านนายชัยวัฒน์ได้เดินหน้าสู้คดีเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธ์ โดยในวันที่ 5 ก.ย. 2565 ศาลอาญาคดีทุจริตฯ มีคำสั่งรับฟ้องนายชัยวัฒน์กับพวก แต่ได้รับอนุญาตให้ประกันตัวระหว่างต่อสู้คดี โดยใช้หลักทรัพย์คนละ 800,000 บาท พร้อมกำหนดเงื่อนไขห้ามออกนอกประเทศ เว้นแต่ศาลอนุญาต และห้ามยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน โดยที่ดีเอสไอและอัยการไม่ได้คัดค้านการประกันตัว
5 ข้อหาเดิมของนายชัยวัฒน์ และพวก มีอะไรบ้าง
บีบีซีไทยรวบรวมข้อมูลที่ปรากฏในสื่อมวลชน เกี่ยวกับข้อหาที่ทำให้อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานและพวกรวม 4 คนตกเป็นจำเลย ประกอบด้วย 5 ข้อหา ดังนี้
- ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
- ร่วมกันโดยมีอาวุธข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใดหรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจ
- ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่นหรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย เป็นเหตุให้ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวถูกกักขังหรือต้องปราศจากเสรีภาพในร่างกายนั้นถึงแก่ความตาย
- ร่วมกันโดยทุจริตหรืออำพรางคดีกระทำการใด ๆ แก่ศพหรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพ ก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้นในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพหรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป
- เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
ย้อนเหตุการณ์การหายตัวของบิลลี่
สำหรับปมปัญหาก่อนหายตัวไปของนายบิลลี่ อาจต้องย้อนก่อนการประกาศพื้นที่เขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานเมื่อปี 2524 ซึ่งพื้นที่ภายในนั้น ชาวบ้านบางกลอย-ใจแผ่นดิน ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ชาวปกาเกอะญอที่อยู่อาศัยและทำกินในพื้นที่ป่า อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี มาก่อนแล้ว
ทว่า นับจากการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติเป็นต้นมา พวกเขาถูกทางการไล่รื้อ บังคับอพยพอย่างน้อย ๆ 2 ครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในปี 2539 และ 2554 โดยมีการใช้ "ปฏิบัติการยุทธการตะนาวศรี" เผาบ้านและยุ้งฉางของชาวบ้านเพื่อบังคับย้ายชาวกะเหรี่ยงออกจากป่าใจแผ่นดิน
เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้นายคออี้ มีมิ หรือ"ปู่คออี้" ผู้นำจิตวิญญาณชาวกะเหรี่ยง กลายเป็นที่รู้จัก เขายังเป็นผู้ฟ้องคดีที่กรมอุทยานฯ เผายุ้งฉางชาวกะเหรี่ยง โดยมีหลานชาย คือ นายบิลลี่ ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยทนายความ และยังเก็บข้อมูลจากปู่คออี้ รวมทั้งผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการไล่ที่ เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการต่อสู้คดีในชั้นศาล
- ปมครอบครองน้ำผึ้งป่า 38 ขวด
การหายตัวไปอย่างปริศนาของนายบิลลี่เกิดขึ้นในช่วงเย็นของวันที่ 17 เม.ย. 2557 จากการสอบสวนชาวบ้านในพื้นที่ มีรายงานว่าเขาถูกเจ้าหน้าที่อุทยานฯ แก่งกระจานควบคุมตัวไว้ฐานมีน้ำผึ้งป่าไว้ในครอบครอง 38 ขวด และหลังจากนั้นก็ไม่มีใครพบเห็นเขาอีกเลย
มีรายงานว่าหนึ่งในเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ที่ควบคุมตัวของเขาคือ นายชัยวัฒน์ ซึ่งดำรงตำแหน่งหัวหน้าอุทยานฯ แก่งกระจานในเวลานั้น และมีรายงานว่าเจ้าหน้าที่ดังกล่าวได้ปล่อยตัวเขาไป
- ครอบครัวเรียกร้องความเป็นธรรม
ต่อมาในเดือน ก.ค. 2557 นางพิณนภา พฤกษาพรรณ หรือ มึนอ ภรรยาของบิลลี่ร่วมกับเครือข่ายองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน ร้องต่อศาลจังหวัดเพชรบุรี ขอให้มีการไต่ส่วนฉุกเฉินการหายตัวไปของนายบิลลี่ ทั้งศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกายกคำร้อง โดยให้เหตุผลว่าหลักฐานไม่เพียงพอ
ในเดือน เม.ย. 2559 ในวาระครบ 2 ปีการหายตัวไปของนายบิลลี่ เครือข่ายกะเหรี่ยงเพื่อวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม เขตงานตะนาวศรี ร้องทุกข์กล่าวโทษนายชัยวัฒน์ อดีตหัวหน้าอุทยานฯ แก่งกระจาน ข้อหากักขังหน่วงเหนี่ยวหรือกระทำการให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย
- ดีเอสไอรับคดีการหายตัวไปของ "บิลลี่" เป็นคดีพิเศษ
กรณีดังกล่าวกลับมาถึงจุดผลิกผันอีกครั้งเมื่อวันที่ 28 มิ.ย. 2561 เมื่อดีเอสไอรับคดีการหายตัวไปของบิลลี่เป็นคดีพิเศษ
ต่อมาวันที่ 10 ก.ค. 2562 ดีเอสไอ โดย พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในฐานะหัวหน้าชุดสืบสวนคดีบิลลี่ รายงานความคืบหน้าการสอบสวนว่า เจ้าหน้าที่ยังคงพยายามสืบหาข้อมูลพยานหลักฐาน และเผยว่ากำลังหาพยานหลักฐานสำคัญซึ่งไม่สามารถเปิดเผยได้ แต่ยืนยันว่าได้มีการส่งเจ้าหน้าที่แฝงตัวเข้าไปในพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูลสำคัญ ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงที่ประเทศไทยยื่นขอขึ้นทะเบียนป่าแก่งกระจานเป็นมรดกโลก โดยผู้เชี่ยวชาญได้หยิบประเด็นว่าด้วยการละเมิดสิทธิชุมชนชาวกะเหรี่ยงแก่งกระจานมาพูดถึงด้วย
ภรรยาของนายบิลลี่ยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดเพชรบุรีในวันที่ 27 ส.ค. 2562 ขอให้ศาลสั่งให้นายบิลลี่เป็นบุคคลสาบสูญ หลังจากหายตัวไป 5 ปี โดยมีพยานหลักฐานน่าเชื่อถือได้ว่า นายบิลลี่ถูกบังคับให้หายสาบสูญโดยเจ้าหน้าที่รัฐ และศาลกำหนดนัดไต่สวนวันที่ 28 ต.ค. ปีเดียวกัน
- พบหลักฐานยืนยันว่า "บิลลี่" เสียชีวิตแล้ว
หลังจากดีเอสไอรับคดีการหายตัวไปของนายบิลลี่เป็นคดีพิเศษแล้ว ก็เริ่มการสอบสวนและลงพื้นที่และพิจารณาข้อมูลทั้งหมด พร้อมกับหาข่าวในพื้นที่เป็นระยะเวลาหนึ่ง ทำให้พบจุดสำคัญว่า ผู้ก่อเหตุน่าจะทิ้งพยานหลักฐาน และรถจักรยานยนต์ของนายบิลลี่ที่หายไป
ในการแถลงความคืบหน้าการสืบสวนสอบสวนคดีการหายตัวไปของนายบิลลี่ เมื่อวันที่ 3 ก.ย. 2562 ได้เปิดเผยหลักฐานสำคัญที่เชื่อมโยงกับการหายตัวไปของเขา โดยระบุว่า เมื่อช่วงเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่พบกระดูกกะโหลกมนุษย์ในถังขนาด 200 ลิตรที่จมอยู่ใต้น้ำ บริเวณสะพานแขวนเหนืออ่างเก็บน้ำเขื่อนแก่งกระจาน การตรวจสอบพบว่ากระดูกที่พบมีสารพันธุกรรมหรือดีเอ็นเอตรงกับนางโพเราะจี รักจงเจริญ มารดาของบิลลี่ จึงทำให้สามารถอนุมานได้ว่านายบิลลี่ได้เสียชีวิตแล้ว
ผศ. วรวีย์ ไวยวุฒิ ผู้อำนวยการกองสารพันธุกรรม สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กล่าวในระหว่างการแถลงข่าวครั้งนั้นระบุว่า จากการตรวจสอบชิ้นส่วนกระดูกมนุษย์ที่พบนั้น เป็นส่วนกะโหลกศีรษะด้านท้ายทอยค่อนมาทางด้านหู "ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของร่างกายมนุษย์หากไม่อยู่ในร่างกายแล้ว บุคคลนั้นคือเสียชีวิต นอกจากนี้ยังมีร่องรอยที่กระดูกผ่านการเผาไหม้"
- "ชัยวัฒน์" ปฏิเสธผลการสืบสวนของดีเอสไอ
4 ก.ย. 2562 หนึ่งวันหลังจากการแถลงข่าวของดีเอสไอ นายชัยวัฒน์ ซึ่งเคยถูกระบุว่าเป็นหนึ่งในผู้ที่อยู่ในเหตุการณืควบคุมตัวนายบิลลี่ ให้สัมภาษณ์กับบีบีซีไทยว่า เจ้าหน้าที่ควบคุมตัวนายบิลลี่ฐานมีน้ำผึ้งป่าไว้ในครอบครอง 38 ขวด แต่หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ได้ปล่อยตัวไป
นอกจากนี้อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานกล่าวเสริมว่า เขาไม่เคยจับกุมชาวกะเหรี่ยงในป่าแก่งกระจาน ถ้าเป็นชุมชนที่อยู่มาดั้งเดิมและทำตามกฎหมาย พร้อมกับยืนยันว่าไม่เคยมองชาวกะเหรี่ยงในแง่ร้าย แต่เหตุที่ต้องนำปฏิบัติการการเผาบ้านปู่คออี้และชุมชนชาวกะเหรี่ยงบ้านบางกลอยครั้งนั้น "เป็นเหตุผลด้านความมั่นคงและภัยคุกคาม"
- "ชัยวัฒน์" ถูกปลดและถูกฟ้องดำเนินคดี
ในวันที่ 25 มี.ค. 2564 คณะอนุกรรมการข้าราชการพลเรือน (อ.ก.พ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) มีมติให้ปลดนายชัยวัฒน์ ออกจากราชการ หลังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ชี้มูลความผิด ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามมาตรา 157 ของประมวลกฎหมายอาญา โดยการเผาทำลายทรัพย์สินของชาวบ้านบางกลอยในป่าแก่งประจาน
ทว่า นายชัยวัฒน์ ยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง โดยมีผู้ที่ถูกฟ้องประกอบด้วย กระทรวงทรัพยากรฯ , ปลัดกระทรวงทรัพยากรฯ และ ป.ป.ท. จากกรณีดังกล่าว เนื่องจากการมีคำสั่งให้ลงโทษปลดนายชัยวัฒน์ออกจากราชการ โดยไม่ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นทำการสอบสวนและไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหาให้นายชัยวัฒน์ทราบ น่าจะมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมาย และการให้คำสั่งดังกล่าวมีผลใช้บังคับต่อไปจะทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่นายชัยวัฒน์ที่ยากแก่การเยียวยาแก้ไขในภายหลัง
การฟ้องร้องคดีนี้ดำเนินการจนสิ้นสุดถึงจนถึงศาลปกครองสูงสุดที่ยืนตามคำสั่งศาลปกครองชั้นต้นที่พิพากษาให้ทุเลาการบังคับตามคำสั่งกระทรวงทรัพยากรฯ ที่สั่งปลดเขาออกจากราชการ จึงทำให้เข้ากลับมาดำรงตำแหน่งข้าราชการในกระทรวงได้ ก่อนที่จะถูกแต่งตั้งกลับมาเป็นดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักอุทยานแห่งชาติในเดือน ก.พ. 2566
อย่างไรก็ตาม นายชัยวัฒน์ยังคงต้องคดีที่เกี่ยวข้องกับการหายไปของนายพอละจี เนื่องจากในวันที่ 10 ส.ค. 2565 สำนักงานอัยการสูงสุด มีความเห็นสั่งฟ้องนายชัยวัฒน์ และพวกรวม 4 คน โดยหนึ่งในนั้นเป็นข้อหา "ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน" คือ นายพอละจี