คาร์บอมบ์ลูกที่ 2 ในปี 65 โจมตีแฟลตตำรวจในนราธิวาส เชื่อจงใจ "ยกระดับความรุนแรง"
ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ วิเคราะห์ เหตุคาร์บอมบ์โจมตีแฟลตตำรวจ เป็นการโจมตี "เชิงสัญลักษณ์" และ "ยกระดับความรุนแรง" หลังการเจรจาสันติภาพไร้ความคืบหน้า
จากเหตุระเบิดบริเวณแฟลตตำรวจ สภ.เมือง จ.นราธิวาส วานนี้ (22 พ.ย.) ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตเป็นตำรวจ 1 นาย บาดเจ็บอีกไม่ต่ำกว่า 36 คน สาหัส 2 ราย ถือเป็นเหตุระเบิดรถยนต์ครั้งแรก ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ในรอบหลายเดือน และลูกที่ 2 ในปีนี้
เย็นวานนี้ (23 พ.ย.) พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.และ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผช.ผบ.ตร. ได้เดินทางมาดูจุดเกิดเหตุคนร้ายลอบวางระเบิดคาร์บอมบ์ภายในแฟลตตำรวจ ซึ่งตั้งอยู่ ถ.สุริยะประดิษฐ์ เขตเทศบาลเมืองนราธิวาส
เบื้องต้น พบว่า กล้องวงจรปิดที่ติดตั้งไว้ในบริเวณแฟลตตำรวจ สามารถบันทึกภาพของคนร้ายเอาไว้ได้ โดยเชื่อว่าคนร้ายน่าจะมีการดูลาดเลามาแล้วหลายครั้ง ซึ่งประเมินได้จากการแต่งกายคล้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ส่วนความเสียหายนั้น มีรถยนต์ส่วนตัวของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จอดไว้ 2 ฝั่ง ของอาคารแฟลต 2 ชั้นและ 4 ชั้น ได้รับความเสียหายกว่า 10 คัน โดยเฉพาะอาคารแฟลต 2 ชั้น ได้รับความเสียหายทั้งชั้นบนและชั้นล่างถึง 8 ห้อง นอกจากนี้ ยังมีซากเศษชิ้นส่วนของระเบิดแสวงเครื่องที่คนร้ายประกอบใส่ไว้ในถังแก๊สหุ้งต้ม หนัก 50 กก. จุดชนวนด้วยการตั้งเวลา
“คดีคืบหน้าไปพอสมควรแล้ว แต่ยังไม่ขอบอกรายละเอียด” พล.ต.อ. ดำรงศักดิ์ กล่าว ส่วนการวิตกถึงการกลับมาของคาร์บอมบ์นั้น ผบ.ตร. ยืนกรานว่า จะหามาตรการป้องกันและเฝ้าระวังอย่างจริงจังต่อไป
"คนร้ายที่ก่อเหตุน่าจะมีการมาสำรวจก่อน พร้อมทั้งแต่งกายคล้ายเจ้าหน้าที่จึงไม่มีใครสงสัย ซึ่งเหตุที่เกิดขึ้นถือเป็นบทเรียน เรามาตั้งมาตรการป้องกัน เฝ้าระวังไม่ให้เกิดขึ้นมาซ้ำ"
ยกระดับความรุนแรง ?
เหตุระเบิดคาร์บอมบ์นั้นเกิดไม่บ่อยนัก และถือว่าเป็นความรุนแรงสูงสุดของสถานการณ์ไฟใต้ โดยคาร์บอมบ์ที่เกิดขึ้นที่แฟลตตำรวจ ถือเป็นลูกแรกในรอบ 6 ปี จึงทำให้หลายฝ่ายตั้งข้อสงสัยว่า กลุ่มผู้ก่อเหตุพยายามยกระดับความรุนแรงขึ้นหรือไม่
ต่อประเด็นนี้ ผศ.ดร.ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี ผอ.ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ ม.สงขลานครินทร์ ให้สัมภาษณ์ในรายการ "เจาะลึกทั่วไทย อินไซด์ไทยแลนด์" โดยตั้งข้อสังเกตว่า เหตุโจมตีครั้งนี้ อาจเป็นการตอบโต้กลับเจ้าหน้าที่รัฐ หลังมีการ "ปิดล้อม ตรวจค้น และวิสามัญฆาตกรรม" สมาชิกกลุ่มผู้ก่อเหตุในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง
"เข้าใจว่าเป้าหมายหลักคือการโจมตีตำรวจ... เป็นการมุ่งเน้นเป้าหมายที่เข้มแข็ง" ผศ.ดร.ศรีสมภพ ระบุ แต่ยอมรับว่า การโจมตีแฟลตตำรวจที่มีครอบครัวของเจ้าหน้าที่อาศัยอยู่ ดูขัดแย้งกับพฤติการณ์ก่อนหน้านี้ของกลุ่มผู้ก่อเหตุ ที่เลี่ยงทำร้ายประชาชน
สาเหตุที่เลือกแฟลตตำรวจ ผู้อำนวยการศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ มองว่า เพราะเป็นเป้าหมายที่มีการป้องกันและเฝ้าระวังน้อยที่สุดของฝ่ายทหารและตำรวจ น้อยกว่าสถานีตำรวจหรือป้อมทหาร
กลุ่มผู้ก่อเหตุมีเจตนาชัดเจนที่จะ "ยกระดับเหตุการณ์ให้รุนแรงขึ้น" เพื่อเป็นการโจมตีเชิงสัญลักษณ์ ตอบโต้ปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ ในห้วงเวลาที่การเจรจาสันติภาพยังไม่มีผลเป็นรูปธรรม และไม่มีความคืบหน้า
อย่างไรก็ดี ผศ.ดร.ศรีสมภพ วิเคราะห์ว่า การเจรจาสันติภาพจะยังไม่คืบหน้ามากนัก เพราะประเทศไทยจะมีการเลือกตั้งในต้นปีหน้า ขณะที่มาเลเซียเองก็อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาล หลังการเลือกตั้ง
คาร์บอมบ์แรกใน 5 เดือน
เพจ “นราธิวาส” ซึ่งเป็นเพจสำนักข่าวประจำภาคใต้ รายงานว่า วานนี้ (22 พ.ย.) เวลา 12.45 น. ได้เกิดเหตุระเบิดบริเวณแฟลตตำรวจ สภ.เมืองนราธิวาส ถ.สุริยะประดิษฐ์ เทศบาลเมืองนราธิวาส จ.นราธิวาส
พฤติการณ์การก่อเหตุ มีรายงานว่า ผู้ก่อเหตุอย่างน้อย 1 คน แต่งกายคล้ายเจ้าหน้าที่ นำรถยนต์กระบะประกอบระเบิด หรือ "คาร์บอมบ์" ไปจอดไว้บริเวณแฟลตตำรวจ จากนั้นจึงเกิดระเบิดขึ้น
ตามข้อมูลของสำนักข่าวอิศราพบว่า คาร์บอมบ์ครั้งล่าสุด ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เกิดขึ้นเมื่อวันเดือน มิ.ย. 2565 ใกล้กับป้อมตำรวจ “หน่วยบริการประชาชนจันทรักษ์” ท้องที่บ้านปาลัส ต.ควน อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี และถือเป็นคาร์บอมบ์ลูกแรกในปี 2565
ดังนั้น เหตุคาร์บอมบ์ที่เกิดใน จ.นราธิวาส วันที่ 22 พ.ย. จึงถือเป็นคาร์บอมบ์ลูกที่ 2 ในปีนี้ และลูกแรกในรอบ 5 เดือน และเป็นลูกที่ 60 นับแต่สถานการณ์ "ไฟใต้" ปะทุขึ้นในปี 2547
สำหรับระเบิดรถยนต์นั้น ถือเป็นความรุนแรงระดับสูงสุดที่เกิดขึ้นในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
สำนักข่าวอิศรา ยังรายงานสถิติอีกว่า เฉลี่ยแล้ว จะเกิดคาร์บอมบ์ใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ และ 4 อำเภอของ จ.สงขลา เฉลี่ยปีละ 1 ลูก ดังนี้
วันที่ 17 มี.ค.63 - เกิดระเบิดคาร์บอมบ์ขึ้นที่บริเวณหน้าศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) โดยคนร้ายได้ขับรถยนต์กระบะตอนเดียวสภาพเก่า ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นไมตี้เอ็กซ์ สีขาว ไม่ทราบหมายเลขทะเบียน ดัดแปลงประกอบระเบิดเป็นคาร์บอมบ์ ไปจอดไว้ที่หน้าป้าย ศอ.บต. หลังจากนั้นจึงได้ระเบิดขึ้น แรงระเบิดทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ นักข่าว และประชาชนทั่วไปได้รับบาดเจ็บ 25 ราย
วันที่ 12 มี.ค.64 - กลุ่มคนร้ายก่อเหตุปล้นรถกระบะขนส่งพัสดุภัณฑ์ “เคอรี่” ที่มี นายบัยฮากี หลงลูวา เป็นคนขับ เหตุเกิดขณะขับรถไปส่งพัสดุที่บริเวณแยกปารามิแต บ้านรั้วตะวัน หมู่ 7 ต.บุดี อ.เมือง จ.ยะลา กลุ่มคนร้ายได้นำตัวคนขับไปมัดไว้ แล้วนำระเบิดแสวงเครื่องที่ประกอบใส่ถังแก๊ส จำนวน 2 ถัง มาใส่ไว้รถกระบะ แล้วขับไปจอดทิ้งบริเวณริมถนน ด้านหลัง สภ.รามัน จ.ยะลา ใกล้กับแฟลตตำรวจ สภ.รามัน
และหากรวมเหตุคาร์บอมบ์ในครั้งนี้ จะแบ่งสถิติเกิดคาร์บอมบ์ ได้ดังนี้
- จ.นราธิวาส เกิดคาร์บอมบ์มาแล้ว 24 ครั้ง
- จ.ยะลา เกิดคาร์บอมบ์มาแล้ว 14 ครั้ง
- จ.ปัตตานี เกิดคาร์บอมบ์มาแล้ว 17 ครั้ง
- 4 อำเภอของ จ.สงขลา เกิดคาร์บอมบ์มาแล้ว 4 ครั้ง
นอกจากนั้น ยังมีคาร์บอมบ์นอกพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้อีก 1 ครั้ง ที่ลานจอดรถห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล เฟสติวัล อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี เมื่อปี 2558 ซึ่งเกี่ยวโยงกับกลุ่มก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้
*ขอบคุณข้อมูลจากสำนักข่าวอิศรา
คาร์บอมบ์หลังวิสามัญฯ ผู้ต้องหาคดีความมั่นคงใน จ.นราธิวาส
ช่วงวันที่ 19-20 พ.ย. เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงในพื้นที่ จ.นราธิวาส เปิดปฏิบัติการติดตามตัวผู้ก่อเหตุลอบวางระเบิดและยิงซ้ำชาวบ้านหาของป่า เมื่อวันที่ 13 พ.ย. โดยปฏิบัติการที่บริเวณเชิงเขาบ้านไอร์ราฆอ อ.จะแนะ จ.นราธิวาส
เกิดการยิงปะทะกันและมีผู้ต้องหาคดีความมั่นคงเสียชีวิต คือ นายฮาซัน อาแว โดยศูนย์ข่าวภาคใต้ สำนักข่าวอิศรา ระบุว่า นายฮาซัน เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับคดีลอบวางระเบิดในพื้นที่กรุงเทพฯ เมื่อปี 2562
เจ้าหน้าที่ยังตรวจยึดอาวุธปืนสงคราม เครื่องกระสุน รวม 5 รายการ บริเวณที่เกิดเหตุ
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่กรุงเทพฯ กำลังเตรียมการเข้าสู่ช่วงของการประชุมผู้นำเอเปคได้เกิดเหตุรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ อย่างน้อย 5 เหตุการณ์ ตั้งแต่ช่วงวันที่ 13 พ.ย. เป็นต้นมา ได้แก่
- เหตุลอบยิงคนหาของป่าก่อนวางระเบิดซ้ำเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้าตรวจสอบเหตุ เสียชีวิต 1 ราย ที่ อ.จะแนะ จ. นราธิวาส (13 พ.ย.)
- เหตุเผาสถานีบริการน้ำมัน 2 แห่ง ใน อ.เมือง และ อ.ยะหริ่ง ของ จ.ปัตตานี (15 พ.ย.)
- เหตุเผาสายไฟฟ้าที่ อ.รามัน จ.ยะลา (15 พ.ย.)
- เหตุระเบิดบริเวณสามแยก ทางเข้าโรงเรียนบ้านคาโตหมู่ 5 ต.ปะนาเระ อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี (16 พ.ย.)
- เหตุลอบขว้างระเบิดแสวงเครื่องแบบไปป์บอมบ์ หวังโจมตีชุดคุ้มครองตำบลรือเสาะออก อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส ไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต (16 พ.ย.)
เหตุรุนแรงต่อเนื่องเข้าสู่สัปดาห์ที่ 2
เกี่ยวกับเหตุการณ์ต่อเนื่องเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักข่าวอิศรา รายงานความเห็นของ พล.ต.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ รองแม่ทัพภาคที่ 4 ว่า สิ่งที่เป็นความมุ่งหมายของกลุ่มผู้ก่อเหตุมาโดยตลอดคือการทำลายความเชื่อมั่นของรัฐบาล "ในช่วงนี้เป็นช่วงใกล้การประชุมเอเปค อาจจะมีส่วนที่เขาพยายามก่อเหตุเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาลในเวทีการเมืองระหว่างประเทศ"
สำนักข่าวอิศรา ยังรายงานอ้างผู้ใกล้ชิดแกนนำกลุ่มขบวนการพูโลและบีอาร์เอ็น ว่าเหตุที่เกิดขึ้นไม่เกี่ยวข้องกับการประชุมเอเปค
“เหตุที่เกิดขึ้นในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เกี่ยวข้องกับปาตานีเท่านั้น” และ “BRN ยืนยันว่าเป็นการตอบโต้จาก BRN สืบเนื่องจากการที่เจ้าหน้าที่ควบคุมตัวผู้บริสุทธิ์ ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องเอเปค” ผู้ใกล้ชิดกับแกนนำบีอาร์เอ็น และอยู่ในคณะพูดคุยเพื่อสันติสุขฯกับรัฐบาลไทย ระบุเมื่อ 14 และ 16 พ.ย.
ดร.รุ่งรวี เฉลิมศรีภิญโญรัช นักวิชาการประจำสถาบันสันติศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ วิเคราะห์กับบีบีซีไทยเมื่อ 17 พ.ย. ว่าบีอาร์เอ็นมีนโยบายที่จะไม่ยอมรับหรือปฏิเสธการปฏิบัติการทางการทหารมาโดยตลอด ฉะนั้น ไม่สามารถตอบได้ชัดเจนว่าบีอาร์เอ็นเป็นผู้ก่อเหตุหรือไม่ได้อย่างชัดเจน
“แต่รูปแบบของการก่อเหตุ เช่น การบุกไปเผาปั๊มน้ำมัน เผาตู้ชุมสายโทรศัพท์ เป็นรูปแบบการก่อเหตุที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของกลุ่มบีอาร์เอ็นคือการโจมตีเป้าหมายทางเศรษฐกิจที่พวกเขามองว่าเป็นฐานเศรษฐกิจของฝ่ายรัฐไทย”
ดร.รุ่งรวี กล่าวด้วยว่า จากรายงานข่าวที่ว่าคนก่อเหตุได้ตะโกนบอกให้คนออกไปจากปั๊มน้ำมันก่อนเกิดเหตุ มีความคล้ายคลึงกับเหตุการณ์วันที่ 16-17 ส.ค. ที่ผ่านมา
“บีอาร์เอ็นจะเน้นการส่งสัญญาณทางการเมืองมากกว่าการทำให้ผู้คนบาดเจ็บล้มตาย เพราะการมีผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บจำนวนมากจะส่งผลเสียต่อการเคลื่อนไหวทางการเมืองของบีอาร์เอ็นซึ่งต้องการสร้างพันธมิตรกับประชาคมนานาชาติ”
เมื่อถามว่าเกี่ยวกับเอเปคหรือไม่ ดร.รุ่งรวี ชี้ว่ามีความเป็นไปได้ว่าการเลือกช่วงเวลาในการปฎิบัติการทางการทหารในครั้งนี้จะมีความสัมพันธ์กับการประชุมเอเปค เพราะจะเป็นช่วงเวลาที่ความสนใจของประชาคมโลกพุ่งมายังประเทศไทยมากเป็นพิเศษ ซึ่งก็อาจจะส่งผลให้เกิดความสนใจในปัญหาในภาคใต้มากขึ้น
ส่วนประเด็นการเลือกตั้งมาเลเซีย ผู้เชี่ยวชาญเรื่องความขัดแย้งจังหวัดชายแดนใต้ กล่าวว่า ไม่น่าจะเกี่ยวข้อง การเปลี่ยนผู้ประสานงาน ก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้ แต่ช่วงจังหวะเวลาการก่อเหตุไม่น่าเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้