โควิด-19 : ผู้ป่วยรายใหม่ลดลงต่อเนื่องเหลือ 13 ราย ผู้เสียชีวิตสะสม 50 ราย
จำนวนผู้ป่วยโควิด-19 รายใหม่ในประเทศไทยยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่จำนวนผู้ติดเชื้อลดลงต่ำกว่า 20 รายติดกันเป็นวันที่สอง ล่าสุดวันนี้ (23 เม.ย.) ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) รายงานว่ามีผู้ป่วยรายใหม่เพียง 13 ราย มีผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 1 ราย
นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. เปิดเผยว่าไทยพบผู้ติดเชื้อเพิ่ม 13 ราย ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อสะสม 2,839 ราย มีผู้รักษาหายกลับบ้านแล้วรวม 2,430 ราย ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 359 ราย ผู้เสียชีวิตเพิ่ม 1 ราย รวมยอดผู้เสียชีวิตสะสม 50 ราย
ผู้เสียชีวิตรายที่ 50 นั้น เป็นหญิงไทยอายุ 78 ปี มีโรคประจำตัวคือหลอดเลือดสมอง เข้ารับการรักษาในวันที่ 21 มี.ค. ด้วยอาการทางเดินปัสสาวะอักเสบ ก่อนที่จะมีอาการไข้ ปอดบวม ส่งตรวจเชื้อยืนยัน ก่อนที่อาการจะแย่ลงและเสียชีวิตด้วยการติดเชื้อในกระแสเลือด และภาวะการหายใจล้มเหลว
นพ. ทวีศิลป์ กล่าวว่า ผู้ป่วยที่ลดลงนั้นก็มาจากความร่วมมือของประชาชน แต่อย่างไรก็ตามยังคงเป็นเพียงช่วงเริ่มต้นเท่านั้น ยังคงย้ำว่า"การ์ดอย่าตก" ด้วยการปฏิบัติตามค่าปกติใหม่ เรื่องการใส่หน้ากากอนามัยให้เป็นปกติ เพื่อไม่ให้ "น็อก" อย่างสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในหลายประเทศที่มีการลดมาตรการ แล้วพบผู้ติดเชื้อพุ่งทะยาน
"เราทำหน้าที่ของเรากันได้อย่างดี เดือนนี้เข้าเดือนที่ 4 ถ้าบอกเป็นมวยมี 12 ยก ตามทฤษฎีหลายคนบอกต้องยาวนานกันเป็นปี นี่เข้ายกที่ 4 เองนะครับ ซึ่งเรายังต้องเก็บคะแนนอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ" นพ.ทวีศิลป์กล่าว
ผู้ป่วยรายใหม่ 13 ราย มีรายละเอียดดังนี้
- ผู้ที่มีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วยหรือเกี่ยวข้องกับสถานที่ที่พบผู้ป่วยก่อนหน้า 5 ราย
- คนไทยที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ 1 ราย
- ไปสถานที่ชุมนุมชน เช่น ห้างสรรพสินค้า ตลาดนัด สถานที่ท่องเที่ยว 1 ราย
- ประกอบอาชีพเสี่ยง 1 ราย
- ตรวจก่อนทำหัตถการ 1 ราย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งวิธีของการค้นหาเชิงรุก
- การค้นหาเชิงรุก ที่ จ.ภูเก็ต 3 ราย โดยเจาะจงกลุ่มที่เข้ารับบริการที่ร้านขายยา และคลินิก
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า จำนวนผู้ป่วยรายใหม่นั้นยังคงเพิ่มขึ้นที่กรุงเทพฯ และภูเก็ต ที่พบเพิ่มแห่งละ 4 ราย รวมถึง ชลบุรี สงขลา ชุมพร ปทุมธานี และนครปฐมที่พบจังหวัดละ 1 ราย ซึ่งขณะนี้กรุงเทพฯ ก็ยังมีผู้ป่วยสะสมที่เข้าข่าย PUI มากที่สุด 10,942 ราย ซึ่งสอดคล้องกับจำนวนผู้ป่วยสะสม เช่นเดียวกับในยะลา นนทบุรี ชลบุรี ภูเก็ต และสมุทรปราการ ที่มีผู้เข้าข่ายมากกว่า 1,000 คน
เมื่อเจาะจงพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งมีจำนวนผู้ป่วยสะสมมากที่สุดนั้น โฆษก ศบค. อธิบายว่า ขณะนี้มีการขยายการค้นหาเชิงรุกในชุมชนนับตั้งแต่วันที่ 15 เม.ย. เริ่มต้นที่ชุมชนเขตบางเขน และคลองเตย จำนวน 1,876 ราย พบผู้ป่วยติดเชื้อ1 รายเท่านั้น
สถานการณ์ทั่วโลกวันนี้พบผู้ติดเชื้อกว่า 2,634,529 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 6,619 ราย ภายในวันเดียว รวมเสียชีวิตสะสม 184,021 ราย ซึ่งประเทศที่กำลังต้องจับตาใหม่ คือ รัสเซีย ซึ่งพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 5,236 รายภายในวันเดียว ในขณะที่ฝั่งเอเชียนั้น สิงคโปร์ยังคงต้องติดตามเฝ้าระวังด้วยผู้ป่วยเพิ่มขึ้นหลักพันในวันเดียว
สำหรับเที่ยวบินที่จะนำคนไทยที่ตกค้างเดินทางกลับนั้น วันนี้มีด้วยกัน 2 เที่ยวบิน จากตุรกี 55 คน ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวที่ตกค้าง นักเรียน และมาเลเซียอีก 144 คน ซึ่งเป็นกลุ่มแรงงาน ส่วนวันพรุ่งนี้ก็มีอีก 2 เที่ยวบินเช่นกันจากญี่ปุ่น 31 คน และอินเดีย 171 คน ซึ่งเป็นภิกษุ แม่ชี และผู้ปฏิบัติธรรม ซึ่งทั้งหมดจะเข้าสู่พื้นที่การดูแลของรัฐ
กรณีเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองด่านสะเดา ของสงขลาที่พบการติดเชื้อนั้น นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ด่านดังกล่าวมีผู้คนเดินทางผ่านเข้าออกจำนวนมาก ซึ่งจำเป็นต้องมีการกักกันผู้ที่มีความเสี่ยงสูงกว่า 49 คน และผู้มีความเสี่ยงต่ำอีก 93 คน รวม 142 คนที่ต้องเฝ้าระวัง ซึ่งขณะนี้อยู่ในช่วงสอบสวนโรคเพื่อหาต้นตอการติดเชื้อ
โดยด่านสะเดาจำเป็นต้องปิดด่านเป็นเวลา 7 วัน เนื่องจากมีเจ้าหน้าที่ต้องเข้าสู่ระบบการกักกันจำนวนมาก อีกทั้งต้องทำการทำความสะอาด ซึ่งจะใช้ด่านปาดังเบซาร์ในการเดินทางเข้าออกไปก่อน ซึ่งหากใครสามารถชะลอการเดินทางกลับจากมาเลเซียได้ก็ขอให้เลื่อนการเดินทางไปก่อน โดยเจ้าหน้าที่สถานทูตจะเข้าไปดูแลในการช่วยเหลือส่งของยังชีพให้
สำหรับขณะนี้นั้นเริ่มมีประชาชนกลับมาใช้ชีวิตปกติกันมาขึ้น โฆษก ศบค. กล่าวว่า ยังคงน่าเป็นห่วง แต่ขอให้ทุกคนระลึกไว้เสมอว่าการออกจากบ้านนั้นเสี่ยงที่จะติดเชื้อทั้งสิ้น จึงต้องเน้นการปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด สังเกตอาการตนเองและคนในครอบครัวอย่างใกล้ชิด ย้ำหากใช้บริการรถสาธารณะ "ห้ามพูดคุยกันโดยเด็ดขาด" ด้วยมีโอกาสที่ละอองฝอยจากน้ำลายกระจายออกมาทั้งสิ้น
สมช. เผย ครม.เล็งเคาะต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ สัปดาห์หน้า
พล.อ. สมศักดิ์ รุ่งสิตา เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) เปิดเผยผลการประชุมหารือวันนี้ (23 เม.ย.) เกี่ยวกับการประเมินสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด -19 ว่าจะมีการต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินออกไปหรือไม่ว่า การประชุมในวันนี้เป็นเพียงการประชุมในระดับเจ้าหน้าที่ โดยคาดการณ์ว่าในวันจันทร์ที่ 27 เม.ย. นี้ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะมีการเรียกประชุมร่วมกับ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. อีกครั้งหนึ่ง เพื่อจะสรุปว่ามีความจำเป็นต้องประกาศต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินออกไปหรือไม่ ซึ่งหากที่ประชุมเห็นสมควรว่าต่ออายุออกไปจะนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอีกครั้งในวันอังคารที่ 28 เม.ย. นี้
นอกจากนี้ เขายังให้ความเห็นว่า ด้านหน่วยงานด้านความมั่นคงนั้นมองว่า สถานการณ์ยังไม่เรียบร้อยเท่าที่ควรจึงน่าจะต่อขยายออกไปอีก แต่จะเป็นระยะเวลาเท่าใดนั้นขึ้นอยู่กับฝ่ายการเมืองเป็นผู้ประเมิน ซึ่งจะมีการหารือร่วมกับสภาพัฒน์เพื่อพิจารณาในส่วนความพร้อมเพื่อเตรียมผ่อนปรนมาตรการต่อไป
สธ.ประกาศ 5 ประเทศอาเซียนเป็นเขตติดโรคติดต่ออันตราย
วันนี้ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ซึ่งมีผลบังคับใช้วันนี้ (23 เม.ย.) เรื่อง ท้องที่นอกราชอาณาจักรที่เป็นเขตติดโรคติดต่ออันตราย กรณีโรคโควิด-19 ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2563 ซึ่งมีการประกาศเพิ่มเติม 5 ประเทศ คือ มาเลเซีย กัมพูชา ลาว อินโดนีเซีย และเมียนมาโดยก่อนหน้านี้มีการประกาศไปแล้ว 4 ประเทศ คือ เกาหลีใต้ จีน รวมถึงเขตบริหารพิเศษมาเก๊า และเขตบริหารพิเศษฮ่องกง อิตาลี อิหร่าน ก่อนหน้านี้ สธ.อธิบายว่า แม้จะมีเพียงบางประเทศที่ถูกประกาศเขตติดโรคติดต่ออันตราย แต่มาตรการของเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศของไทยนั้น มีมาตราเคร่งครัดสูงสุดเหมือนกันในทุกประเทศ นั้นคือจะต้องมีหนังสือรับรองแพทย์ หนังสือรับรองจากสถานทูต รวมถึงมีการอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบ
สธ. ชี้แจงข้อกล่าวหาเรื่องตัดงบสู้โควิด-19
ช่วงเช้าของ 23 เม.ย. กลุ่มนักเคลื่อนไหวในนาม "กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ" ออกมาคัดค้านมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ 21 เม.ย. โดยเฉพาะการตัดงบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ งบบัตรทอง และงบประมาณกระทรวงสาธารณสุข ด้วยเหตุผล คือ
1. งบบัตรทอง จำนวน 2,400 ล้านบาท คือเงินในส่วนที่เรียกว่า ค่าบริการทางการแพทย์สำหรับผู้มีสิทธิในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า 49 ล้านคน ถือเป็นงบกองทุนรักษาพยาบาล เป็นลักษณะรายจ่ายประจำที่เป็นไปเพื่อการจัดสวัสดิการแห่งรัฐ หรือค่าใช้จ่ายรายหัวตามสิทธิพื้นฐานจากการบริการของรัฐที่มีผลบังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน อันเป็นหลักการสำคัญที่จะไม่นำงบประมาณรายจ่ายส่วนนี้ไปจัดทำร่าง พ.ร.บ.โอนงบประมาณรายจ่าย
ขณะที่งบประมาณกระทรวงสาธารณสุข 938.4 ล้านบาท งบลงทุนซ่อม-สร้างอาคาร ห้องพักผู้ป่วย ห้องพักเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลในต่างจังหวัด ไม่ใช่งบประมาณค่าใช้จ่ายในการสัมมนา การฝึกอบรม การประชาสัมพันธ์ การจ้างที่ปรึกษา ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการต่างประเทศ หรืองบบริหาร ซึ่งหากมีการดึงงบประมาณส่วนนี้ไป ย่อมส่งผลกระทบกับโรงพยาบาลทุกแห่งทั่วประเทศและคุณภาพในการดูแลรักษาพยาบาลผู้ป่วยโดยรวม
2. ภายใต้วิกฤติการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่นี้ อาจดูเหมือนว่า ประชาชนมารับการรักษาพยาบาลตามหน่วยบริการต่างๆ น้อยลง แต่นั่นเป็นเพราะประชาชนได้รับคำแนะนำให้ชะลอการเข้ารับการรักษาพยาบาล อีกทั้งโรงพยาบาลต้องดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อลดความแออัดของหน่วยบริการ เพื่อให้รองรับกับการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้ดีที่สุด แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ภาระโรค หรือภาระค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลของประชาชนจะลดน้อยลงไป หากงบประมาณด้านรักษาพยาบาลถูกปรับลดลง จะสร้างภาระด้านการเงิน เพิ่มภาระการบริหารจัดการภายใน จะส่งผลต่อภาระหนี้สินที่เพิ่มขึ้นและประสิทธิภาพในการรักษาพยาบาลประชาชนในภาพรวมอย่างแน่นอน ดังนั้น แม้คณะรัฐมนตรีจะเตรียมงบประมาณสนับสนุนการรักษาพยาบาลโควิด-19 ก็ไม่พึงตัดลดงบประมาณกองทุนบัตรทองและค่ารักษาพยาบาลอื่นๆ
ในเวลาต่อมา นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ตาม พ.ร.บ. หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ มาตรา 46 (2) ครอบคลุม ถึงค่าใช้จ่ายของหน่วยบริการในส่วนเงินเดือนและค่าตอบแทนบุคลากร รัฐบาลได้นำงบค่าใช้จ่ายรายหัวส่วนนี้มาใช้เป็นเงินเดือนค่าตอบแทนของข้าราชการบรรจุใหม่ 45,684 ตำแหน่ง เพื่อรับมือสถานการณ์โรคโควิด 19 นั้น ช่วยสร้างขวัญกำลังใจให้บุคลากรสาธารณสุขที่ร่วมต่อสู้กับโรคโควิด 19 ในครั้งนี้
นายแพทย์สุขุมกล่าวว่า รัฐบาลได้สนับสนุนกระทรวงสาธารณสุข และสปสช. โดยได้จัดสรรงบกลางปี 2563 ครั้งที่ 1 จำนวน 1,233 ล้านบาท และรอบ 2 จำนวน 5,488 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นของ สปสช. 3,260 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังสนับสนุนงบกลางเพื่อจัดหาหน้ากากอนามัย หน้ากาก N95 และชุดป้องกันส่วนบุคคล (PPE) จำนวน 1,551 ล้านบาท เพื่อใช้ในสถานการณ์โควิด 19 และรัฐบาลยังได้เตรียมไว้สนับสนุนอีกกว่า 45,000 ล้านบาท ขอยืนยันว่าการดำเนินการครั้งนี้ ทำให้บุคลากรกระทรวงสาธารณสุขมีขวัญกำลังใจมากขึ้น สามารถลดภาระเงินบำรุงของหน่วยบริการอีกด้วย และมีการจัดนวัตกรรมในการดูแลรักษาผู้ป่วย เช่น การส่งยาให้ผู้ป่วยที่บ้านผ่าน อสม. การขยายบริการปฐมภูมิ เพื่อประชาชนจะได้ประโยชน์จากการได้รับบริการจากโรงพยาบาลมากขึ้น