โลกร้อน : การประชุมสุดยอดด้านสภาพภูมิอากาศของยูเอ็น COP26 สำคัญอย่างไร
ผู้นำจาก 196 ประเทศทั่วโลกจะมาพบปะกันที่เมืองกลาสโกว์ สหราชอาณาจักร เดือน พ.ย. นี้ เพื่อร่วมการประชุมสุดยอดด้านสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติ หรือ COP26
พวกเขาจะถูกร้องขอให้มอบคำมั่นสัญญาว่าจะใช้มาตรการเพื่อชะลอการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลก ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบร้ายแรงที่จะตามมา ไม่ว่าจะเป็นระดับน้ำทะเล และสภาพอากาศแบบสุดโต่ง
การประชุมด้านสภาพภูมิอากาศคืออะไร
การประชุมนี้ถูกมองว่าตัวแปรสำคัญที่จะช่วยให้สามารถควบคุมการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศไว้ได้ ผู้นำโลกจะใช้โอกาสนี้พูดคุยกันว่าได้ทำอะไรไปบ้าง สำเร็จมากพอหรือไม่ นับจากลงนามในความตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเมื่อปี 2015
ซึ่งถือเป็นความพยายามครั้งสำคัญที่สุดในการให้ทุกชาติให้คำมั่นสัญญาว่าจะช่วยกันลดปัญหาโลกร้อน ด้วยการจำกัดให้การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส โดยจะพยายามไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส
อย่างไรก็ดี นักวิทยาศาสตร์หลายคนบอกว่าจะทำไม่ได้ตามเป้า โดยโลกอาจร้อนขึ้นมากถึง 3 องศาเซลเซียส
การประชุมนี้จัดโดยสหประชาชาติโดยเรียกกันว่า COP26 โดย COP ย่อมาจาก Conference of the Parties หรืออาจแปลได้ว่าการประชุมของฝ่ายต่าง ๆ
จะตกลงอะไรกันในการประชุมครั้งนี้
ประเทศต่าง ๆ จะถูกขอให้ตั้งเป้าหมายที่ "ทะเยอทะยาน" เพื่อลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกซึ่งทำให้เกิดภาวะโลกร้อนภายในปี 2030
ประเทศต่าง ๆ ต้องตอบว่าจะทำอย่างไรถึงจะสามารถปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero หรือการไม่ปล่อยก๊าชเรือนกระจกไปมากกว่าที่สามารถกำจัดได้ ภายในปี 2050
การเผาพลาญเชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นปัจจัยหลัก ดังนั้นกระบวนการที่ต้องทำประกอบไปด้วย :
-หยุดใช้พลังงานถ่านหิน
-หยุดตัดไม้ทำลายป่า
-เปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า
-ลงทุนในการผลิตพลังงานหมุนเวียน
การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศคืออะไร
การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศคือการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของสภาพภูมิอากาศในโลกในระยะยาว
ตอนนี้โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นราว 1.2 องศาเซลเซียสแล้วตั้งแต่มีการสร้างโรงงานไปทั่วโลก และอุณหภูมิจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ หากรัฐบาลชาติต่าง ๆ ไม่ลงมือ
ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นคือการขาดแคลนอาหาร คลื่นอากาศร้อน พายุ และระดับน้ำที่สูงขึ้น
ประเทศที่ยากจนกว่าต้องการอะไร
คนที่อาศัยอยู่ในประเทศที่ยากจนกว่าเป็นด่านหน้าที่ต้องเจอกับความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ก่อน
นอกจากมีความอันตรายที่จะเกิดภาวะแล้งและคลื่นอากาศร้อน ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นกำลังทำให้ชาติที่เป็นเกาะกำลังค่อย ๆ ถูกน้ำท่วม
ก่อนหน้าที่การประชุมจะเริ่มขึ้น ประเทศที่กำลังพัฒนาได้ระบุข้อเรียกร้องหลายอย่าง อาทิ
ทุนในการต่อสู่และปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
ค่าชดเชยต่อผลกระทบที่ประเทศเหล่านี้ต้องเผชิญ
เงินทุนช่วยเหลือในการทำให้ระบบเศรษฐกิจของเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมขึ้น
พวกเขาบอกว่าหากไม่คืบหน้าในประเด็นเหล่านี้ การประชุมในครั้งนี้จะไร้ประโยชน์และจะจบลงด้วยความล้มเหลว
ประเทศที่ร่ำรวยให้สัญญาว่าอย่างไร
ชาติที่ร่ำรวยสัญญาว่าเมื่อถึงปี 2020 พวกเขาจะให้ทุนช่วยเหลือ 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ในการช่วยชาติที่ยากจน
อย่างไรก็ดี ตัวเลขล่าสุดชี้ว่าพวกเขายังให้ได้แค่ 7.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
ถึงปี 2018 สามในสี่ของเงินที่ให้เป็นการให้กู้ยืมซึ่งต้องจ่ายคืน ไม่ใช่เงินที่ให้แล้วให้เลย นี่จึงเป็นปัญหาสำหรับหลายประเทศที่ยากจนที่เป็นหนี้เป็นสินอยู่แล้ว
นายอล็อก ชาร์มา ประธานการประชุมสุดยอด COP26 บอกว่าประเด็นนี้กลายเป็นเรื่องของ "ความไว้เนื้อเชื่อใจกัน" และชาติที่ร่ำรวย "ต้องเริ่มให้การช่วยเหลือตอนนี้เลย"
ประเด็นที่เรียกกันว่า การเงินเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ "climate finance" จะกลายเป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญที่จะพูดคุยกันในการประชุมครั้งนี้
สหราชอาณาจักรมุ่งมั่นในการจัดการเรื่องความเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแค่ไหน
ในปี 2019 สหราชอาณาจักรเป็นชาติแรกที่ประกาศเป้าจะปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ให้ได้ภายในปี 2050
ก่อนหน้านี้ปีนี้ ทางการก็บอกด้วยว่าอยากจะทำให้ได้ 78% ภายในปี 2035
อย่างไรก็ดี นักการเมืองพรรคฝ่ายค้านบอกว่าการกระทำของรัฐบาลไม่ได้สะท้อนคำพูด
ความสำเร็จในการประชุม
มีความคาดหวังมากว่าการประชุมสุดยอดครั้งนี้จะนำไปสู่ความคืบหน้าในการจัดการกับอุณหภูมิที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ
ชาติที่ร่ำรวยจะถูกขอให้ทำให้ได้ตามสัญญาที่จะสนับสนุนเงิน 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ถ้ามีข้อตกลงว่าชาติต่าง ๆ จะค่อย ๆ ลดการเผาพลาญถ่านหินได้ก็จะถือเป็นความสำเร็จสำคัญ แต่ดูจะไม่ใช่เรื่องง่ายหากพิจารณาจากการประชุมก่อนหน้าวันจริงที่เกิดขึ้นแล้ว
จะมีการกดดันให้ชาติต่าง ๆ ทำให้ได้ตามเป้าที่วางไว้ ไม่ใช่เฉพาะเรื่องลดการปล่อยคาร์บอนอย่างเดียว แต่ต้องช่วยชุมชนและชาติต่าง ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศด้วย