โควิด-19 : เชื้อกลายพันธุ์ชนิดใดที่น่าวิตก แล้ววัคซีนชนิดไหนจะพิชิตพวกมันได้
ไวรัสทุกชนิดสามารถกลายพันธุ์ได้เองตามธรรมชาติ และเชื้อ Sars-CoV-2 ที่ก่อโรคโควิด-19 ก็ไม่มีข้อยกเว้น โดยนับแต่เชื้อถูกตรวจพบช่วงปลายปี 2019 ก็พบการกลายพันธุ์เกิดขึ้นหลายพันครั้ง
เราเรียกเชื้อไวรัสที่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมนี้ว่า "เชื้อกลายพันธุ์" องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงส่วนใหญ่ส่งผลเพียงเล็กน้อยต่อคุณสมบัติของเชื้อไวรัส และมักค่อย ๆ หายไปตามกาลเวลา
แต่นาน ๆ ครั้ง เชื้อไวรัสอาจโชคดีที่มีการกลายพันธุ์ในลักษณะที่ช่วยให้มันอยู่รอดและเพิ่มจำนวนขึ้นได้
ปัจจุบันผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกกำลังจับตามองพัฒนาการของเชื้อ Sars-CoV-2 อย่างใกล้ชิด เพื่อให้รัฐบาลประเทศต่าง ๆ สามารถรับมือกับการกลายพันธุ์ของเชื้อได้
แล้วเราควรกังวลกับเชื้อกลายพันธุ์เหล่านี้มากแค่ไหน
เชื้อโควิดกลายพันธุ์หลักมีอะไรบ้าง
เชื้อ Sars-Cov-2 กลายพันธุ์ที่ผู้เชี่ยวชาญมีความกังวลมากที่สุดในปัจจุบันมีอยู่ 4 สายพันธุ์คือ
- อัลฟา (Alpha) ตรวจพบครั้งแรกในสหราชอาณาจักร
- เบตา (Beta) ตรวจพบครั้งแรกในแอฟริกาใต้
- แกมมา (Gamma) ตรวจพบครั้งแรกในบราซิล
- เดลตา (Delta) ตรวจพบครั้งแรกในอินเดีย
เชื้อดังกล่าวถูก WHO จัดให้อยู่ในกลุ่ม "เชื้อกลายพันธุ์ที่น่ากังวล" เพราะมีความเสี่ยงที่จะเป็นภัยคุกคามด้านสาธารณสุข เช่น สามารถทำให้เชื้อโรคโควิดติดต่อกันได้ง่ายขึ้น ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยรุนแรง หรือทำให้เชื้อต้านทานวัคซีนได้
เชื้อกลายพันธุ์อีกส่วนถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มของ "เชื้อกลายพันธุ์ที่น่าจับตามอง" เพราะทำให้เกิดการติดเชื้อเป็นกลุ่มก้อน หรือถูกตรวจพบในหลายประเทศ
WHO ตัดสินใจใช้ระบบเรียกชื่อของเชื้อโรคโควิด-19 สายพันธุ์ต่าง ๆ ตามอักษรกรีก แทนความนิยมของคนทั่วไปและสื่อที่เรียกชื่อสายพันธุ์ด้วยชื่อประเทศหรือสถานที่เพื่อให้ง่ายต่อการอ้างอิงถึง รวมทั้งลดการตีตราและการเลือกปฏิบัติต่อพลเมืองที่มาจากประเทศที่ตรวจพบเชื้อกลายพันธุ์เหล่านี้เป็นแห่งแรก
ข้อเด่นของสายพันธุ์เดลตา
เดลตา เป็นเชื้อโควิดกลายพันธุ์ที่ได้รับความสนใจอย่างมากในระยะหลังนี้ เพราะพบว่าเป็นภัยคุกคามต่อสาธารณสุขมากกว่าสายพันธุ์อื่น ๆ
ประการแรก เดลตามีอัตราแพร่เชื้อสูงกว่าสายพันธุ์อัลฟา ราว 60% แม้ว่าอัลฟามีอัตราแพร่เชื้อสูงกว่าเชื้อโรคโควิดสายพันธุ์ดั้งเดิมอยู่แล้วถึง 50%
นอกจากนี้ สายพันธุ์เดลตายังทำให้เกิดการระบาดระลอกที่สองในอินเดียเมื่อเดือน เม.ย. และ พ.ค. อีกทั้งยังกลายเป็นเชื้อสายพันธุ์หลักที่กำลังระบาดในสหราชอาณาจักร และยังพบว่าเชื้อสายพันธุ์นี้ได้แพร่เข้าไปในกว่า 90 ประเทศทั่วโลกแล้วทั้งในสหรัฐฯ จีน แอฟริกา แถบสแกนดิเนเวีย และภูมิภาคในมหาสมุทรแปซิฟิก
ในประเทศไทย อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขเตือนเมื่อ 28 มิ.ย. ว่า ภายใน 3 เดือนนี้ มีโอกาสที่แซงสายพันธุ์เดลตาจะแซงหน้าสายพันธุ์อัลฟา
ข้อมูลจากสหราชอาณาจักรพบว่า ผู้ติดเชื้อสายพันธุ์เดลตาที่ยังไม่ได้รับวัคซีนต้านโควิดมีแนวโน้มจะล้มป่วยหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาลมากกว่าผู้ติดเชื้อสายพันธุ์อัลฟาถึง 2 เท่า
ผลการศึกษาหลายชิ้นยังพบว่า ผู้ติดเชื้อเดลตามักแสดงอาการป่วยที่ต่างออกไปจากอาการป่วยที่เกิดจากเชื้อโรคโควิดสายพันธุ์ดั้งเดิม
สำนักงานบริการสุขภาพแห่งชาติ (NHS) ของสหราชอาณาจักร ระบุว่า อาการป่วยของโรคโควิด-19 แบบดั้งเดิมคือ ไอต่อเนื่อง มีไข้ และสูญเสียการรับรู้กลิ่นหรือรสชาติ
แต่ศาสตราจารย์ ทิม สเปคเตอร์ ผู้นำโครงการศึกษาที่ชื่อ "โซอี โควิด ซิมป์เทิม" (Zoe Covid Symptom) ระบุว่า แม้อาการไข้สูงยังคงพบได้บ่อยในผู้ป่วยโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา แต่การสูญเสียการรับรสและกลิ่นไม่ได้อยู่ในอาการป่วย 10 อันดับแรกอีกต่อไปแล้ว
ปัจจุบันอาการที่พบได้บ่อยที่สุดในหมู่ผู้ติดเชื้อโรคโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาในสหราชอาณาจักร คือ ปวดศีรษะ เจ็บคอ และน้ำมูกไหล
ศ.สเปคเตอร์ ชี้ว่า การติดเชื้อสายพันธุ์เดลตาอาจทำให้คนหนุ่มสาวมีอาการป่วยเหมือน "ไข้หวัดรุนแรง" และแม้คนกลุ่มนี้มักไม่ล้มป่วยหนัก แต่พวกเขายังสามารถแพร่เชื้อ และทำให้เกิดอันตรายต่อผู้อื่นได้
เดลตาพลัส และแลมบ์ดา น่ากังวลแค่ไหน
เมื่อวันที่ 23 มิ.ย. อินเดียได้จัดให้เชื้อสายพันธุ์เดลตาพลัส (Delta Plus) ซึ่งเป็นเชื้อกลายพันธุ์ของสายพันธุ์เดลตาอยู่ในกลุ่มเชื้อกลายพันธุ์ที่น่ากังวล
โดยสำนักงานสาธารณสุขอังกฤษ (PHE) ระบุว่า เดลตาพลัสมีลักษณะคล้ายสายพันธุ์เดลตา แต่มีการกลายพันธุ์เพิ่มที่เรียกว่า K417N ที่โปรตีนหนามซึ่งช่วยให้เชื้อไวรัสสามารถยึดเกาะกับเซลล์ที่ติดเชื้อได้ดีขึ้น
ปัจจุบันพบเดลตาพลัสใน 9 ประเทศคือ สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร โปรตุเกส สวิตเซอร์แลนด์ ญี่ปุ่น โปแลนด์ รัสเซีย และจีน
รัฐมนตรีสาธารณสุขอินเดียระบุว่า เดลตาพลัสแพร่ระบาดได้ง่ายขึ้น สามารถยึดเกาะกับเซลล์ในปอดได้ง่ายขึ้น และอาจจะทนทานต่อการรักษาด้วยแอนติบอดีชนิดโมโนโคลน (monoclonal antibody therapy) ซึ่งเป็นการให้แอนติบอดีทางเส้นเลือดเพื่อฆ่าไวรัส
แต่บรรดานักไวรัสวิทยาชั้นแนวหน้าระบุว่ายังไม่มีข้อมูลเพียงพอที่สนับสนุนข้อมูลดังกล่าว และ WHO ก็ยังไม่ได้จัดให้เดลตาพลัสอยู่ในกลุ่มเชื้อกลายพันธุ์ที่น่ากังวลหรือน่าจับตามอง
อย่างไรก็ตาม WHO เพิ่งจะจัดให้สายพันธุ์แลมบ์ดา (Lambda) อยู่ในกลุ่มเชื้อกลายพันธุ์ที่น่าจับตามอง หลังจากพบการระบาดในหลายประเทศ โดยเฉพาะในทวีปอเมริกาใต้และแถบเทือกเขาแอนดิส (ประเทศเปรู ชิลี อาร์เจนตินา และเอกวาดอร์)
ข้อมูลจากเว็บไซต์ Global Initiative on Sharing Avian Influenza Data ที่แบ่งปันข้อมูลของไวรัสโคโรนาที่ก่อโรคโควิด-19 ระบุว่าปัจจุบันพบการติดเชื้อสายพันธุ์แลมบ์ดาใน 29 ประเทศ
ศาสตราจารย์ ปาโบล ซึคายามะ นักจุลชีววิทยาจากมหาวิทยาลัยคาเยตาโน ของเปรู ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ค้นพบสายพันธุ์แลมบ์ดา ให้สัมภาษณ์กับบีบีซีว่า เชื้อกลายพันธุ์ชนิดนี้ "น่าจะแพร่ระบาดได้ง่ายขึ้น เพราะมันคือทางเดียวที่จะอธิบายถึงจำนวนผู้ติดที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว"
ศาสตราจารย์ ซึคายามะ ชี้ว่า ข้อมูลในปัจจุบันบ่งชี้ว่าแลมบ์ดาอาจทำให้เกิดปัญหาระบบลำไส้ แต่ยังคงมีหลักฐานไม่เพียงพอที่จะบอกได้ว่ามันสามารถต้านทานวัคซีนได้หรือไม่ ซึ่ง WHO ระบุว่าจะต้องมีการศึกษาเรื่องนี้เพิ่มอีกเพื่อให้เข้าใจถึงผลกระทบทั้งหมดของเชื้อสายพันธุ์นี้
วัคซีนต้านเชื้อกลายพันธุ์ได้ไหม
วัคซีนที่เรามีอยู่ในปัจจุบันแสดงให้เห็นว่ามีประสิทธิภาพในการต้านเชื้อโรคโควิดกลายพันธุชนิดใหม่ ๆ
แต่ประสิทธิภาพจะลดลงกับเชื้อชนิดใหม่เมื่อเทียบกับเชื้อชนิดดั้งเดิม โดยเฉพาะเมื่อได้รับวัคซีนไปแค่ 1 โดส
ผลการศึกษของ PHE บ่งชี้ว่า วัคซีน 1 โดสของไฟเซอร์ และของแอสตร้าเซนเนก้ามีประสิทธิภาพป้องกันเชื้อสายพันธุ์เดลตาเพียง 33% เมื่อเทียบกับ 50% สำหรับสายพันธุ์อัลฟา อย่างไรก็ตามระดับการปกป้องจะเพิ่มขึ้นหลังจากได้รับวัคซีนโดสที่ 2 โดยอยู่ที่ระดับ 88% สำหรับไฟเซอร์ และ 60% สำหรับแอสตร้าเซนเนก้า
ผลการศึกษาอีกชิ้นจากมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดยืนยันว่าวัคซีนทั้งของไฟเซอร์ และของแอสตร้าเซนเนก้ามีประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อสายพันธุ์เดลตาและแคปปาในอินเดียได้
ขณะที่งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Cell ไม่พบหลักฐานว่าเชื้อกลายพันธุ์ทั้ง 2 ชนิดที่กล่าวข้างต้นจากสามารถหลบเลี่ยงวัคซีนได้เป็นวงกว้าง และวัคซีนที่มีอยู่ในปัจจุบันยังสามารถป้องกันเชื้อเหล่านี้ได้
อย่างไรก็ตาม ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐฯ (CDC) ระบุว่า วัคซีนอาจไม่มีประสิทธิภาพเต็ม 100% เสมอไป ซึ่งเชื้อโรคโควิดกลายพันธุ์อาจทำให้ผู้ได้รับวัคซีนแล้ว โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับไปแค่โดสเดียวอาจล้มป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาลหรืออาจเสียชีวิตได้
ข้อมูลล่าสุดจาก CDC ระบุว่า จนถึงวันที่ 14 มิ.ย.สหรัฐฯ มีผู้ได้รับวัคซีนครบถ้วนแล้วกว่า 144 ล้านคน แต่ยังพบว่าในจำนวนนี้ 3,729 คนติดโควิด และอีก 671 คนเสียชีวิตจากเชื้อโรคชนิดนี้
เราจะต่อสู้กับเชื้อกลายพันธุ์อย่างไร
ปัจจุบันหลายประเทศกำลังต่อสู้กับการระบาดของเชื้อกลายพันธุ์ด้วยการเร่งฉีดวัคซีนต้านโควิดให้แก่ประชาชนให้ได้มากที่สุด โดยในสหราชอาณาจักรทางการได้ย่นเวลาฉีดวัคซีนโดสที่ 2 ให้เร็วขึ้น
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่ามาตรการนี้อาจไม่สามารถทำได้ในทุกประเทศ โดยเฉพาะประเทศรายได้ระดับต่ำและระดับกลางที่มีวัคซีนไม่เพียงพอ
ด้วยเหตุนี้ผู้เชี่ยวชาญจึงเน้นย้ำถึงความสำคัญในการเฝ้าจับตาการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัสด้วยวิธีหาลำดับดีเอ็นเอ (DNA Sequencing) ขณะที่บางคนเน้นย้ำเรื่องควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อ และรับมือกับโรคโควิด-19 ในระยะยาว เช่น การเพิ่มความแข็งแกร่งให้ระบบสาธารณสุข
ศาสตราจารย์ เอสวี สุพรหมมัณยัน จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ชี้ว่าหลายชาติในโลกจะไม่สามารถหลุดพ้นจากโรคระบาดครั้งนี้ไปได้เพียงพึ่งการฉีดวัคซีน
เขาเรียกร้องให้มุ่งเน้นที่การรักษาและการเตรียมรับมือของระบบสาธารณสุขที่เกี่ยวกับเรื่องเตียงรักษา เครื่องช่วยหายใจ ออกซิเจน และบุคลากรการแพทย์
"ในทัศนะของผม ในสถานการณ์ที่ดูเหมือนเชื้อไวรัสกำลังกลายพันธุ์ (ซึ่งอาจเกิดมากขึ้นหลังโครงการฉีดวัคซีนครั้งใหญ่) คงไม่มีหนทางที่จะเอาชนะเชื้อไวรัสได้ง่าย ๆ แต่เราสามารถสร้างระบบที่จะรับประกันผู้ที่ต้องรับการดูแลรักษาว่ามันจะมีอย่างเพียงพอ เข้าถึงได้ และมีราคาที่สามารถจ่ายได้"