โควิด-19: ลูกชาย “เฮียซ้ง” ลำดับเหตุการณ์ปล่อยตัวพ่อช้าจนต้องรักษาในไอซียู

ศักดิ์ชัย ตั้งจิตสดุดี

ที่มาของภาพ, Facebook/สายใย แห่งรัก

คำบรรยายภาพ, ทนายและครอบครัวยื่นขอประกันตัว ศักดิ์ชัย ตั้งจิตสดุดี 5 ครั้งก่อนได้รับการปล่อยชั่วคราว และต้องเข้าไอซียู 2 ครั้งหลังเป็นผู้ป่วยโควิด
  • Author, หทัยกาญจน์ ตรีสุวรรณ
  • Role, ผู้สื่อข่าวบีบีซีไทย

จากผู้ต้องหาวัย 63 ปี ในคดีล้อมรถคุมตัวนักกิจกรรมที่เดินเหินได้ปกติ ศักดิ์ชัย ตั้งจิตสดุดี หรือที่รู้จักในชื่อ "เฮียซ้ง" กลายเป็นผู้ป่วยโควิด-19 ในเรือนจำ และกำลังรักษาตัวในห้องไอซียูของโรงพยาบาลนอกคุก

"ให้ผมเป็นแทนพ่อได้ไหม ให้พ่อแข็งแรงเป็นปกติได้ไหม" ศุภกิจ ตั้งจิตสดุดี หรือบอส บุตรชายของศักดิ์ชัย แสดงความรู้สึกผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวซึ่งตั้งค่าเป็นสาธารณะ เมื่อ 13 พ.ค.

ชีวิตของวิศวกรไฟฟ้าหนุ่มเปลี่ยนแปลงไป เมื่อ "ผู้นำครอบครัว" ต้องกลายสถานภาพเป็นผู้ต้องขัง ระหว่างการพิจารณาคดีนาน 79 วัน (24 ก.พ.-13 พ.ค.) พ่วงผู้ป่วยโควิด-19 (11 พ.ค. ถึงปัจจุบัน)

จากเคยศึกษาแต่วงจรไฟฟ้า บอสต้องหาความรู้ทางกฎหมาย สลับกับการพูดคุยกับทนายความเพื่อหาช่องทางประกันตัวพ่อออกจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ

ถึงตอนนี้ คนที่บอสโทรหาทุกวัน หนีไม่พ้น แพทย์-พยาบาล เพื่อสอบถามอาการป่วยของพ่อผู้นอนรักษาตัวอยู่ในห้องผู้ป่วยขั้นวิกฤต (ไอซียู) ของ รพ.รามาจักรีนฤบดินทร์ และเปิดรับคำแนะนำเกี่ยวกับแผนการรักษาต่าง ๆ จากเพื่อนพ่อ คนรู้จัก พร้อมสืบค้นข้อมูลด้วยตนเองในโลกออนไลน์

"ตอนป๊าอยู่ในเรือนจำ ก็ห่วงระดับหนึ่ง แต่คิดว่ายังไงก็ได้ออก... มาตอนนี้ผมกังวลและห่วงป๊ามาก มันกระทบกับเรื่องงานมากพอสมควร เอาจริง ๆ คือแทบไม่มีสมาธิทำอะไรเลย นึกถึงแต่เรื่องป๊า แต่โชคดีที่ที่ทำงานเข้าใจ" บอสกล่าวกับบีบีซีไทย

ราชทัณฑ์ยืนยันผลโควิด-19 ช้ากว่าโลกภายนอก 1 วัน

ศักดิ์ชัย ในวัยเกษียณ ตกเป็นจำเลยคดีล้อมรถควบคุมตัว ไมค์-ภาณุพงศ์ จาดนอก และ เพนกวิน-พริษฐ์ ชิวารักษ์ ขณะตำรวจอายัดตัวจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ไป สน.ประชาชื่น เมื่อ 30 ต.ค. 2563 ก่อนกลายเป็นผู้ต้องขังหน้าใหม่ของเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เมื่อ 24 ก.พ. หลังไม่ได้รับสิทธิประกันตัวในช่วงที่ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่กำลังแพร่ระบาด

ไมค์เริ่มหมดสติ ขณะอยู่ในรถควบคุมผู้ต้องหาคันเดียวกับเพนกวิน เมื่อ 30 ต.ค. 2563

ที่มาของภาพ, Thai News Pix

คำบรรยายภาพ, ไมค์เริ่มหมดสติ ขณะอยู่ในรถควบคุมผู้ต้องหาคันเดียวกับเพนกวิน เมื่อ 30 ต.ค. 2563

กรมราชทัณฑ์ออกประกาศ "งดการเยี่ยมญาติช่องทางปกติ" ทำให้บอสมีโอกาสเยี่ยมพ่อเพียง 2 ครั้งผ่านวิดีโอคอลของแอปพลิเคชันไลน์ ซึ่งกำหนดให้เยี่ยมได้ครั้งละไม่เกิน 10 นาที

เฮียซ้งเคยเล่าให้บุตรชายฟังถึงสภาพ "แออัดมาก" ภายในแดน 6 ที่เขาอยู่ และต้องอยู่รวมกันในเรือนนอนวันละ 15 ชม. (15.00-06.00 น.)

ต่อมาเดือน เม.ย. เกิดการแพร่กระจายเชื้อระลอกใหม่-ใหญ่ แม้แต่ "ดินแดนปิด" อย่างเรือนจำ ก็ไม่อาจซ่อนเร้นหรือได้รับข้อยกเว้นจากไวรัสร้าย

ในระหว่างนี้ เริ่มปรากฏข่าวแกนนำ/แนวร่วม "ราษฎร" ที่ถูกคุมขังภายในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ทยอยติดเชื้อโควิด-19 เริ่มจาก จัสติน-ชูเกียรติ แสงวงค์, อานนท์ นำภา รวมถึง ปริญญา ชีวินกุลปฐม หรือพอร์ท ไฟเย็น

แล้วสิ่งที่บอสกลัวที่สุดก็เกิดขึ้นในวันที่ 11 พ.ค. เมื่อเพจศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนแจ้งข่าวว่า 4 จำเลยคดีล้อมรถไมค์-เพนกวินติดโควิด ในจำนวนนี้มีเฮียซ้งรวมอยู่ด้วย

เรือนจำ

ที่มาของภาพ, Thai News Pix

คำบรรยายภาพ, เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มีผู้ป่วยโควิดหน้าใหม่ 521 ราย รวมมีผู้ป่วยสะสมที่อยู่ระหว่างการรักษา 2,370 ราย (ข้อมูล ณ 19 พ.ค.)

"ตอนนั้นผมทำงานอยู่ ผมตกใจมาก ไม่รู้ว่ามันจริงหรือเปล่า ก็รีบโทรไปถามทนาย ๆ บอกว่าจริง.. ผมเลยโทรเช็คที่เรือนจำ แต่เรือนจำบอกว่าไม่มีชื่อป๊าผมถูกส่งไป รพ.สนามราชทัณฑ์ ให้ลองเช็คที่แดนดู พอประสานไปแดน 6 ที่ป๊าอยู่ เจ้าหน้าที่บอกว่ายังไม่ติดนะ รอผลอยู่ และให้ลองโทรมาวันรุ่งขึ้น ทั้ง ๆ ที่วันนั้นเขาแจ้งทนายไปแล้วว่าป๊าติดโควิด ถึงตอนนี้ก็ยังไม่แน่ใจว่าความผิดพลาดในการให้ข้อมูลอยู่ตรงไหน พอเช้าวันรุ่งขึ้น (12 พ.ค.) ผมโทรไปอีกครั้ง คราวนี้เขาบอกว่าติด" บอสเล่า

ในระหว่างรอคำยืนยันผลตรวจหาเชื้อโควิด-19 ของพ่อจากเรือนจำ หัวใจของลูกชายร้อนรุ่ม คิดอยู่ตลอดว่า "ยังไงต้องเอาป๊าออกมาให้ได้"

ตลอดบ่ายจนถึงค่ำ บอสง่วนอยู่กับการติดต่อทนายเพื่อขอให้ทำเอกสารคำร้องขอปล่อยชั่วคราวครั้งที่ 5 ในนามญาติ และวิ่งหาหยิบยืมเงินจากญาติ ๆ 2 แสนบาท เพื่อมาวางเป็นหลักทรัพย์ประกันตัว

เมื่อทุกอย่างพร้อม บอสจึงรุดไปศาลแต่เช้าเพื่อยื่นคำร้อง โดยศาลนัดไต่สวนคำร้อง 13 พ.ค. พร้อมกับ สมคิด โตสอย จำเลยที่ 4 และฉลวย เอกศักดิ์ จำเลยที่ 5 คดีล้อมรถควบคุมตัวไมค์-เพนกวิน ซึ่งทนายยื่นคำร้องขอประกันตัวไปก่อนหน้านี้

ภาพแรกของเฮียซ้ง หลังติดโควิด-19

การไต่สวนคำร้องขอประกันตัวเฮียซ้งกับพวก ดำเนินการผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ เชื่อมต่อสัญญาณจากห้องพิจารณา 912 ในศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ไปยังแดนพยาบาลราชทัณฑ์ ด้วยเพราะจำเลยทั้ง 3 คนล้วนเป็นผู้ป่วยโควิด-19

แนวร่วม "ราษฎร" แสดงสัญลักษณ์ประจำกลุ่ม ระหว่างติดตามการไต่สวนคำร้องขอประกันตัวแกนนำ

ที่มาของภาพ, Thai News Pix

คำบรรยายภาพ, แนวร่วม "ราษฎร" แสดงสัญลักษณ์ประจำกลุ่ม ระหว่างติดตามการไต่สวนคำร้องขอประกันตัวแกนนำ

ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนเล่าบรรยากาศไว้ว่า เมื่อเจ้าหน้าที่ศาลเชื่อมต่อสัญญาณได้แล้ว ปรากฏภาพจำเลยทั้งสามถูกเบิกตัวมายืนเรียงกันที่หน้ากล้อง ญาติ ๆ ต่างรีบกรูกันมามองที่ภาพบนจอทีวี ขณะที่ด้านหลังของทั้งสาม มองเห็นผู้ต้องขังนอนเรียงติด ๆ กันบนผ้าขนหนู มีผู้ต้องขังกว่า 30 คนอยู่ในห้องเดียวกัน

ภาพแรกของเฮียซ้งที่บุตรชายเห็น-รู้สึกคือ "อาการไม่ค่อยดี ไม่สามารถเดินเองได้ ต้องให้ผู้ต้องขังคนอื่นช่วยพยุง และไม่สามารถยืนนาน ๆ ได้"

เมื่อทนายความถามถึงอาการป่วย เฮียซ้งไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะตอบรับ สมคิดจึงตอบแทนว่า "เฮียซ้งอาการไม่ดีมา 6-7 วันแล้ว แจ้งเจ้าหน้าที่่ไป แต่ก็ไม่มีใครสนใจ แล้วบอกว่าเดี๋ยวก็ดีขึ้น โดยให้ยาพาราฯ มากิน"

ขณะที่บอสพูดปลอบพ่อว่า "อดทนนะ วันนี้ป๊าจะได้ออกแล้ว" ทว่าลึก ๆ ในใจแล้ว เขาสารภาพว่า "เอาตรง ๆ คือผมทำอะไรไม่ถูกเลย" ทั้งโกรธทั้งกลัว

ในระหว่างที่รอศาลขึ้นบัลลังก์ เฮียซ้งทรุดตัวนอนลงบนตักของสมคิด โดยที่สมคิดเอามือโอบไหล่ของเฮียซ้งไว้

"พอป๊าไม่ไหว ต้องนอน ภาพก็หายไปจากจอ จังหวะนั้นผมเลยออกไปโทรหา รพ.ราชทัณฑ์ให้ช่วยขึ้นไปดูพ่อระหว่างรอไต่ฯ เขาไม่ไหวแล้ว ผู้ต้องขังคนอื่นแจ้งว่ามีอาการเป็นสัปดาห์แล้ว จากนั้นประมาณ 5-10 นาที พยาบาลก็ขึ้นไปวัดความดันและออกซิเจน และแจ้งว่าต้องให้ออกซิเจน จึงนำป๊าเข้าไอซียู รพ.ราชทัณฑ์ รอบแรก" บอสเล่า

นั่นเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่บอสมีโอกาสเห็นหน้าของพ่อ นับจากกลายเป็นผู้ป่วยโควิด-19 จนถึงปัจจุบัน

11 ชม. จากศาล เรือนจำ ถึง รพ. ของ "ผู้ป่วยสีแดง"

เวลา 11.30 น. ศาลขึ้นบัลลังก์ โดยแจ้ง 2 เงื่อนไขจำเป็นในการขอประกันตัวผู้ต้องขังที่ติดเชื้อโควิดคือต้องมีผู้กำกับดูแลไม่ให้ผู้ได้รับประกันตัวละเมิดอำนาจศาล ซึ่งอันนี้ไม่มีปัญหา เพราะได้รับความร่วมมืออย่างดีจากประธานชุมชน แต่อีกเงื่อนไขที่บอสมองว่า "เป็นอุปสรรคใหญ่" คือต้องมี รพ. ปลายทางรองรับเพื่อรักษาตัว

"เงื่อนไขของ รพ.ราชทัณฑ์จะส่งตัวไปได้ก็เมื่อศาลออกหมายปล่อยให้ก่อน แต่ศาลบอกว่าจะออกหมายปล่อยได้ ต้องมี รพ. รองรับก่อน ก็เลยเป็นอะไรที่ขัดกัน"

หลังบุตรชายของจำเลย ขึ้นไต่สวนเสร็จ เขารีบออกไป รพ.ราชทัณฑ์ เพื่อขอให้ช่วยทำเอกสารไปยืนยันกับทางศาล ก่อนกลับถึงศาลราว 14.00 น.

รพ. ราชทัณฑ์

ที่มาของภาพ, Thai News Pix

เวลา 17.45 น. ศาลอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยทั้งสามคน โดยให้วางหลักทรัพย์คนละ 25,000 บาท และกำหนดเงี่อนไขห้ามชุมนุมก่อความวุ่นวาย ห้ามออกนอกราชอาณาจักรเว้นได้รับอนุญาตจากศาล และให้มาศาลตามนัด สิ้นสุดการรอคอยของญาติผู้ต้องขังทุกรายในวันที่ 79 นับจากถูกคุมขัง

อย่างไรก็ตามอุปสรรคของบอสหาได้จบลงแค่นั้น เมื่อแพทย์ประเมินอาการของเฮียซ้งว่าเป็น "ผู้ป่วยสีแดง" ทำให้ รพ.ที่ประสานไว้ไม่รับรักษา บรรดาทนาย, ครอบครัวผู้ต้องขัง และเพื่อนร่วมงานของบอสจึงช่วยกันประสานหา รพ. ก่อนได้เตียงที่ รพ.รามาจักรีนฤบดินทร์ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ซึ่งบอสทราบภายหลังว่ามาจากการประสานงานของ รพ.ราชทัณฑ์ นั่นเอง

เวลา 22.00 น. รถพยาบาลเคลื่อนออกจากเขตเรือนจำ ก่อนส่งตัวเฮียซ้งถึงเตียงผู้ป่วยในหอผู้ป่วย 5 เอ ในเวลาราว 22.30 น. ขณะนั้นบอสยังสามารถพูดคุยกับพ่อได้ผ่านโทรศัพท์

รพ. สนามราชทัณฑ์ ที่บอสเห็น

ในทัศนะของบอส สิ่งที่ญาติผู้ต้องขังต้องการมากที่สุดหลังทราบว่าคนในครอบครัวติดโควิดในเรือนจำคือ "สิทธิในการรักษาพยาบาล" ไม่ต่างจากความต้องการของคนที่ใช้ชีวิตอยู่ภายนอก นั่นทำให้การ "คืนสิทธิประกันตัวให้ประชาชน" มีความสำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ต้องขังระหว่างรอการพิจารณาคดี ซึ่งยังไม่ได้รับการพิพากษาใด ๆ ในชั้นศาล

"ผมต้องการเอาป๊าออกมารักษาข้างนอก ไม่ใช่ไม่มั่นใจใน รพ.ราชทัณฑ์นะ แต่ถ้าอยู่ข้างนอก ผมสามารถติดต่อสอบถามสถานการณ์ได้มากกว่าอยู่ข้างในนั้น.. เคสป๊าผม ผู้ป่วยอาการหนักแล้ว แต่ไม่ถูกส่งตัวไปรักษาแยก ยังนอนรวมอยู่ในนั้นตามคำบอกเล่าของผู้ต้องขังอีกคน ทำไมอ่ะ เขาป่วยหนักมา 6 วันแล้ว ที่ท้องเสีย กินข้าวไม่ได้ ก็ยังปล่อยเขาอยู่ตรงนั้น ถ้ารักษาเร็วกว่านี้ อาการเขาอาจไม่หนักขนาดนี้" บอสตัดพ้อ

สภาพภายในโรงพยาบาลสนามของทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ที่เปิดเผยต่อสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 8 พ.ค. ก่อนการตรวจพบคลัสเตอร์กลุ่มก้อนใหญ่ในเรือนจำ

ที่มาของภาพ, ประชาสัมพันธ์ กรมราชทัณฑ์

คำบรรยายภาพ, สภาพภายใน รพ.สนามของทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ที่เปิดเผยต่อสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 8 พ.ค. ก่อนตรวจพบ "คลัสเตอร์ใหญ่" ในเรือนจำ

เรื่องราวที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดกระแส "ทวงความเป็นธรรมให้เฮียซ้ง" ขณะที่ลูกชายตั้งคำถามว่าการระบาดในเรือนจำเกิดขึ้นได้อย่างไร และการจัดการผู้ป่วยในเรือนจำเป็นอย่างไร เพราะภาพที่บอสเห็นช่วงเตรียมไต่สวนผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ เป็น "รพ. สนาม ที่สภาพไม่เหมือน รพ. สนาม"

"สิ่งที่เขาเล่ากันว่าผู้ต้องขังนอนกันยังไง ห้องหนึ่งแออัดยังไง ผมเห็นในจอภาพวันนั้น... ที่ผมมั่นใจว่าป๊าอยู่ห้องนั้นแน่ ๆ เพราะตอนเปิดกล้องใหม่ ๆ เขาไม่ได้อยู่ข้างหน้า แต่พอเจ้าหน้าที่เรียกชื่อนี้ ๆ อยู่ไหน แต่ละคนก็ยกมือตามจุดที่ตัวเองอยู่ แล้วถึงเดินมาหน้ากล้อง"

บุตรชายจำเลยคดีล้อมรถควบคุมตัวแกนนำราษฎรบรรยายสภาพสถานพยาบาลราชทัณฑ์ที่เขาเห็นเมื่อ 13 พ.ค. ไว้ว่า "ไม่มีการกั้นพื้นที่ ไม่มีเตียง เหมือนคนไปเข้าค่าย มีผ้าผืนหนึ่งให้ปูนอนกับพื้น"

ภาพภายใน รพ.สนามราชทัณฑ์ ที่ได้รับการเผยแพร่โดยกรมราชทัณฑ์

ที่มาของภาพ, ประชาสัมพันธ์ กรมราชทัณฑ์

คำบรรยายภาพ, ภาพภายใน รพ.สนามราชทัณฑ์ ที่ได้รับการเผยแพร่โดยกรมราชทัณฑ์

หากไม่มีกรณีจำเลย-ผู้ต้องขัง "ราษฎร" ติดโควิด บอสเองก็ไม่แน่ใจว่าสังคมจะได้รับรู้ข่าวสารโควิดแพร่ระบาดครั้งใหญ่ภายในเรือนจำหรือไม่

"ผู้ต้องขังการเมือง มีทนายเข้าไปดูแล พอทนายไปเยี่ยมแล้วรู้ ก็ออกมาพูด ถ้าไม่มีเคสแกนนำ หรือเคสป๊าผม คนข้างในก็ไม่มีทางรู้ ญาติข้างนอกก็ไม่มีทางรู้เลยว่าญาติตัวเองติดโควิดไปแล้ว" บอสกล่าว

ในวันแรกที่ได้รับอิสรภาพคืนมา ศักดิ์ชัยสั่งบุตรชายทางโทรศัพท์ให้แจ้งข่าวถึงญาติผู้ต้องขังอีกรายว่าพ่อของเขาติดโควิดอยู่ในเรือนจำ

"ได้คุยกับป๊าตอนไป รพ. รามาฯ แม้ไม่มีแรงพูด พูดไปเหนื่อยไป แต่ยังอุตส่าห์เป็นห่วงเพื่อน ป๊าฝากให้ผมไปติดต่อลูกของคนที่อยู่ในแดน 6 กับป๊าว่าพ่อเขาติดโควิด พอผมโทรไปหาลูกเขา ปรากฏครอบครัวไม่รู้เรื่องเลย ไม่ได้รับแจ้งอะไร เหมือนที่ผมเคยไม่รู้เรื่องมาก่อน" บุตรชายของเฮียซ้งกล่าว

คำมั่นจากอธิบดีกรมราชทัณฑ์

ข้อมูลจากกรมราชทัณฑ์ ณ 19 พ.ค. ระบุว่ามีผู้ป่วยโควิด-19 สะสม 12,786 ราย กระจายอยู่ในเรือนจำ 11 แห่งทั่วประเทศไทย

อายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ แถลงว่า จากการสอบสวนเชื้อที่แพร่ระบาด อาจเกิดจากการฝ่าฝืนไม่ปฏฺิบัติตามระเบียบการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด "โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ที่อาจจะเป็นพาหะนำเชื้อเข้าไปในเรือนจำ" กรมได้ตั้งคณะกรรมการเพื่อสอบสวนข้อเท็จจริงของบุคลากรที่ติดเชื้อโควิด-19 แล้ว

กรมราชทัณฑ์

ที่มาของภาพ, ประชาสัมพันธ์ กรมราชทัณฑ์

คำบรรยายภาพ, อธิบดีกรมราชทัณฑ์ระบุว่า จะดำเนินการลดความแออัด ให้ผู้ต้องขังใช้สิทธิยื่นคำร้องต่อศาลขอปล่อยตัวชั่วคราว ซึ่งกรมได้รับความกรุณาเป็นอย่างดีจากสำนักงานศาลยุติธรรม

สำหรับผู้ป่วยโควิดในเรือนจำที่เพิ่มขึ้นทุกวัน ทางอธิบดีกรมราชทัณฑ์ยืนยันว่า จะแจ้งให้ญาติทราบเป็นระยะ เพื่อบรรเทาความห่วงใยของญาติ แต่ทั้งนี้ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ต้องขังด้วย และยังให้คำมั่นว่าจะรักษาให้ดีที่สุดอย่างเต็มความสามารถ ขอญาติอย่าได้กังวล

"กรณีติดขัดล่าช้า ผมต้องขออภัยด้วย แต่ได้กำชับแล้วว่าต้องแจ้งทันที" อธิบดีกรมราชทัณฑ์กล่าว

"เวลาในอนาคต" ของสองพ่อลูก

ทุกวันนี้กิจวัตรประจำวันที่บอสทำเพื่อพ่อเพิ่มเติมมีอย่างน้อย 2 อย่างคือ คอยรายงานอาการป่วยของพ่อทุกวันผ่านเฟซบุ๊ก เพื่อให้มิตรสหายและผู้ห่วงใยได้รับรู้และร่วมกันส่งกำลังใจให้เฮียซ้ง รวมถึงเดินสายไปไหว้พระขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้คุ้มครองพ่อซึ่งทำติดต่อกัน 3 วันแล้ว

"จริง ๆ บ้านผม เรื่องสวดมนต์ไหว้พระไม่ค่อยมีเท่าไรนะ แต่ผมแค่รู้สึกว่าในส่วนของหมอเขาทำเต็มที่แล้ว ผมก็อยากทำอะไรสักอย่าง เหมือนตอนยื่นประกันพ่อ เรารอไม่ได้ ผมไม่รู้จะทำอะไรเกี่ยวกับการรักษา แต่นี่เป็นอีกทางหนึ่งที่หลาย ๆ คนในประเทศนี้เชื่อ และผมพอทำได้ ก็เลยอยากจะทำ... ก็รู้สึกดีขึ้นนะ อย่างน้อยก็มีอะไรที่เป็นกำลังใจให้เรา"

ตั้งแต่เล็กจนโต บอสไม่เคยเห็นพ่อป่วยหนักถึงขั้นต้องล้มหมอนนอนเสื่อ หรือต้องไปนอน รพ. อย่างมากก็เป็นไข้ กินยาแล้วนอนพักอยู่กับบ้านก็หาย

"ป๊าเป็นคนไม่ชอบไปโรงพยาบาลด้วย พอมาครั้งนี้ (ต้องใส่เครื่องมือแพทย์) ผมก็พยายามบอกว่า 'เดี๋ยวก็หายแล้ว เชื่อหมอนะ' และเล่าให้ฟังว่าจะโทรหาป๊าทุกวัน แต่ขอคุยไม่กี่ครั้ง เพราะคุยแล้วป๊ายังเหนื่อยมาก ให้ฟังเฉย ๆ ไม่ต้องพูดเยอะ แต่ถ้าหมอดูว่าอาการป๊าดีขึ้น ก็จะได้คุยกันทุกวัน สู้ ๆ ป๊าก็ต้องสู้ด้วย แกก็เออ ๆ ๆ"

SUPAKIT

ที่มาของภาพ, SUPAKIT

คำบรรยายภาพ, บอสบอกว่าสนับสนุนทุกสิ่งที่พ่อทำ เพราะเชื่อว่าทุกอย่างที่ทำตัดสินใจดีแล้ว

ลูกชายคนเดียวของเฮียซ้งยังหยอกพ่อด้วยว่า "ตอนนี้ป๊าดังใหญ่แล้วนะในโซเชียล มีสื่อจับตาดูสถานการณ์" ทำให้ปลายสายขำเล็ก ๆ ซึ่งนั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้บอสยิ้มได้ เพราะมองว่าเป็นสัญญาณที่ดี ที่พ่อของเขาพูดได้มากขึ้น มีแรงมากขึ้น และทานอาหารได้มากขึ้น

บอสบอกเล่าบทสนทนากับพ่อผ่านโทรศัพท์ซึ่งเกิดขึ้นครั้งสุดท้ายเมื่อ 16 พ.ค. ก่อนที่เฮียซ้งจะถูกย้ายเข้าห้องไอซียูตั้งแต่ 17 พ.ค. ถึงปัจจุบัน หลังพบอาการติดเชื้อในกระแสเลือด

"การพูดคุยในวันนั้นไม่มีเวลาจำกัดเหมือนตอนที่อยู่ในเรือนจำ แต่มันเหมือนถูกจำกัดในความรู้สึกของผมเองว่าป๊าควรได้รับการพักผ่อน"

ในอดีต บอสมักถามพ่ออยู่บ่อย ๆ ว่าหากถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากทำอะไร คำตอบจากปากเฮียซ้งคือไม่รู้จะไปคิดทำไมในเมื่อมันย้อนกลับไปไม่ได้ วันนี้ทำอะไรได้ ก็ทำไป

"ผมรู้ว่าเราทุกคนย้อนเวลาไม่ได้ แต่ที่ผมถามป๊า เพราะอยากรู้ว่าเขาอยากทำอะไร อยากขายอะไร ถ้าวันหนึ่งผมทำให้เขาได้ ผมก็อยากทำ ครั้งหนึ่งเขาเคยบอกว่าคงอยากนั่งขายปลามั้ง ผมก็คิดอยากเก็บเงินเซ้งตึกแถวเปิดร้านให้เขา แล้วเราก็อยู่ชั้นบน"

"ผมไม่เคยนึกว่าถ้าย้อนเวลากลับไปได้อยากทำอะไร ผมแค่อยากใช้เวลาในอนาคตกับพ่อของผม"

"ขออย่าให้มีกรณีแบบพ่อของผมอีก"

ในหมู่เพื่อนบ้าน เพื่อนฝูง และนักกิจกรรมการเมืองที่รู้จักศักดิ์ชัยอาจเรียกเขาว่า "เฮีย" แต่สำหรับคนหนุ่มวัย 26 ปี ชายที่นอนอยู่ในห้องไอซียูไม่ใช่แค่ "ป๊า" แต่เป็นทุกอย่างในชีวิต และทำให้บอสเป็นบอสแบบทุกวันนี้โดยมีพ่อเป็นต้นแบบ ไม่ว่าด้านดี เช่น สั่งสอนให้มีมารยาทกับผู้ใหญ่ หรือด้านร้าย จากการนำบทเรียนด้านลบของชีวิตมาอบรมบุตรชายไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับเหล้าและบุหรี่

พ่อกับแม่แยกทางกันตั้งแต่บอสยังเรียนชั้นประถม แม้เฮียซ้งไม่ได้มีงานประจำทำ แต่ก็หารายได้เก็บเล็กผสมน้อย สามารถส่งเสียบุตรชายจนจบระดับปริญญาตรีได้

"ป๊าอยากให้ลูกเรียนสูง ๆ เพราะตัวเขาไม่ได้จบสูง ไม่ได้เป็นเจ้าคนนายคน ต้องมานั่งลำบาก มันเป็นภาพที่คนเห็นว่าป๊าไม่มีงานหลักแหล่งทำ เรียนจบน้อย แต่ภาพแบบที่คนมอง อย่างน้อยเขาก็สามารถเลี้ยงผมให้เป็นแบบนี้ได้" บอสพูดถึงพ่ออย่างภูมิใจ

ในวัยเด็ก เฮียซ้งเคยบอกลูกชายคนเดียวว่าอยากให้เรียนหมอ และพูดติดตลกว่า "วันหนึ่งป๊าป่วย จะได้รักษาได้" แต่เมื่อบอสเลือกเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ เขาก็ไม่ขัด

"พอมาลองนึกแบบขำ ๆ กับตัวเอง ก็คิดนะว่าถ้าผมเรียนหมอ จบหมอ ผมอาจได้เห็นป๊า ได้อยู่ข้าง ๆ ป๊าในวันนี้ ก็คิดคล้าย ๆ ตอนยื่นประกันน่ะครับ ที่เขาบอกให้ผมรอก่อน ถ้าผมจบทนาย ก็คงได้ยื่นเอง ไม่ต้องรอใคร เสียดายที่เราไม่ได้เป็นอย่างนั้น แต่ทุกสิ่งที่ผมทำมาตลอด 3 เดือน ผมมั่นใจว่าทำดีที่สุดเท่าที่ทำได้ในฐานะลูก"

กิจกรรม “ยืน หยุด ขัง” ถูกจัดขึ้นหน้าสำนักงานศาลหลายแห่งในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมา เพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัวแกนนำ “ราษฎร” ที่ถูกคุมขังภายในเรือนจำระหว่างการพิจารณาคดี

ที่มาของภาพ, Thai News Pix

คำบรรยายภาพ, กิจกรรม “ยืน หยุด ขัง” ถูกจัดขึ้นหน้าสำนักงานศาลหลายแห่งในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมา เพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัวแกนนำ “ราษฎร” ที่ถูกคุมขังภายในเรือนจำระหว่างการพิจารณาคดี

ถึงตอนนี้ เฮียซ้งอยู่ในมือหมอแล้ว บอสเชื่อว่าหมอจะดูแลพ่อของเขาอย่างเต็มที่

"อยากฝากไปถึงผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดในเหตุการณ์นี้ซึ่งมันแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว แต่หลังจากนี้ขออย่าให้มีกรณีแบบพ่อของผมอีก ไม่อยากให้ใครต้องเป็นเหมือนผมกับพ่อ ต้องมานั่งทุกข์" บุตรชายของเฮียซ้งกล่าวทิ้งท้าย

Presentational grey line

ลำดับเหตุการณ์หลัง "เฮียซ้ง" ติดโควิด-19

  • 11 พ.ค. บุตรชายได้รับแจ้งจากทนายความว่าศักดิ์ชัยติดโควิด-19 ภายในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ โดยมีผู้ต้องขังร่วมคดีอีก 3 ราย เป็นผู้ติดเชื้อด้วย
  • 12 พ.ค. บุตรชายยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว เป็นครั้งที่ 5
  • 13 พ.ค. ศาลอาญานัดไต่สวนคำร้องผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ ทำให้บุตรชายมีโอกาสเห็นสภาพอิดโรยของศักดิ์ชัย ต้องให้ผู้ต้องขังอื่นช่วยพยุง และไม่มีเรี่ยวแรงแม้กระทั่งตอบคำถาม จากนั้นเจ้าหน้าที่เข้าวัดความดัน พบค่าความดันของศักดิ์ชัยอยู่ที่ 101/64 ค่าออกซิเจนอยู่ที่ 94 และมีไข้สูง 37.9 องศา จึงถูกนำตัวไปรักษาที่ไอซียู รพ.ราชทัณฑ์ และไม่สามารถขึ้นเบิกความได้ ต่อมาในช่วงเย็น ศาลอนุญาตให้ประกันตัว ก่อนที่ รพ.ราชทัณฑ์ จะประสานส่งตัวไปรักษาต่อใน รพ.รามาจักรีนฤบดินทร์
  • 14 พ.ค. บุตรชายแจ้งอาการป่วยของบิดาว่า "เชื้อลงปอดแล้ว" แพทย์ต้องให้ออกซิเจน และให้ยาต้านไวรัส "ตอนนี้คุณพ่อยังตอบสนองดี สามารถพูดคุยและช่วยเหลือตัวเองได้"
  • 15 พ.ค. บุตรชายแจ้งอาการป่วยของบิดาว่า "อาการยังไม่ดีขึ้น เชื้อในปอดยังไม่ลด ยังคงมีการลุกลาม และออกซิเจนยังต่ำ ต้องให้ออกซิเจนเพิ่ม อาการภายนอกยังดูทรง มีอาการเหนื่อยเล็กน้อยเวลาขยับตัว"
  • 16 พ.ค. บุตรชายแจ้งอาการป่วยของบิดาว่า "ไม่มีการอุดตันของเส้นเลือดในปอด แต่ยังมีอาการของโควิดอยู่" ทั้งนี้สองพ่อลูกมีโอกาสสนทนากันผ่านโทรศัพท์ด้วย
  • 17 พ.ค. บุตรชายแจ้งอาการป่วยของบิดาในช่วงเช้าว่ายังต้องใช้หน้ากากให้ออกซิเจน และระดับออกซิเจนต่ำลงเป็นช่วง ๆ เพราะบิดา "มักดึงหน้ากากออก ไม่แน่ใจเกิดจากการรำคาญหรือสมองหลงลืม" ต่อมาในช่วงเที่ยง เขาแจ้งอีกครั้งว่าบิดาต้องเข้าห้องไอซียู "เนื่องจากมีอาการติดเชื้อในกระแสเลือด และตรวจพบมีโรคเบาหวานและมีอาการถุงลมโป่งพอง ค่าออกซิเจนต่ำมาก ไม่สามารถหายใจเองได้ ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ"
  • 18 พ.ค. บุตรชายแจ้งอาการป่วยของบิดาว่า "อาการเริ่มทรง ๆ" ยังพบเชื้อในกระแสเลือดอยู่บ้าง ยังต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ และแพทย์ยังต้องให้ยานอนหลับเพื่อให้ร่างกายพักผ่อน ให้ปอดได้ทำงานปกติ
  • 19 พ.ค. บุตรชายแจ้งอาการป่วยของบิดาว่า "อาการทรง ๆ ไม่แย่ลง" ค่าความดันปกติ ค่าออกซิเจนหลังจากใช้เครื่องช่วยหายใจ อยู่ในเกณฑ์ปกติ แพทย์ยังต้องให้ยานอนหลับและรับอาหารผ่านทางสายยาง

ที่มา: บีบีซีไทยประมวลและสรุปจากข้อมูลที่บอสเปิดเผยผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวซึ่งตั้งค่าเป็นสาธารณะ