ศรีสุวรรณ จรรยา ยื่นสอบพลังประชารัฐ-เข้าข่ายยุบพรรค ปมรับเงินบริจาคนายทุนโยง “ผับจีน”

ลุงป้อม

ที่มาของภาพ, Thai News Pix

คำบรรยายภาพ, พปชร. อยู่ภายใต้การนำของหัวหน้าพรรคที่ชื่อ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ ตั้งแต่ 27 มิ.ย. 2563

พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เดินเข้าแดนเสี่ยงหลังผู้บริหารพรรคออกมายอมรับว่ารับเงินบริจาค 3 ล้านบาทจากนักธุรกิจชาวจีนซึ่งปัจจุบันถือสัญชาติไทย และถูกเชื่อมโยงกับ “ผับจีน” ย่านยานาวา โดยล่าสุดมีผู้ร้อง กกต. ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้แล้ว

บ่ายวันนี้ (28 ต.ค.) นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เข้ายื่นหนังสือถึงคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) รับเงินบริจาค 3 ล้านบาทจากนักธุรกิจชาวจีน ว่าเป็นการกระทำที่เข้าข่ายขัดต่อพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 44 มาตรา 72 และมาตรา 74 หรือไม่ หากเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมายดังกล่าว ก็ขอให้ กกต. พิจารณายื่นศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรค พปชร. ตามมาตรา 92 (3) ของรัฐธรรมนูญ 2560

แม้นักธุรกิจคนดังกล่าวแปลงสัญชาติเป็นไทย และมีบัตรประจำตัวประชาชนไทยแล้ว แต่นายศรีสุวรรณตั้งข้อสงสัยว่าได้สละสัญชาติจีนด้วยหรือไม่ หรือว่ามีการถือ 2 สัญชาติ ซึ่งเกี่ยวข้องกับกฎหมายพรรคการเมือง

อย่างไรก็ตามนายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ออกมาเปิดเผยผลการตรวจสอบเบื้องต้น โดยดูจากตัวเลขตามบัตรประจำตัวประชาชน พบว่าเป็นผู้มีสัญชาติไทย ซึ่งถือว่าเป็นผู้ที่สามารถบริจาคเงินให้กับพรรคการเมืองได้

ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลังจากนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม ในฐานะประธานยุทธศาสตร์ พปชร. ออกมายอมรับว่า นายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ นายทุนจีนที่ได้รับสัญชาติไทย มีชื่อเป็นผู้บริจาคเงินให้แก่ พปชร. จำนวน 3 ล้านบาท เมื่อปี 2564

ประธานยุทธศาสตร์ พปชร. กล่าวว่า ในการบริจาคเงินให้พรรค ทางพรรคไม่สามารถรู้รายละเอียดส่วนลึกของแต่ละบุคคลได้ เพียงแต่ตรวจดูว่าเงินมาในรูปแบบที่ กกต. ได้กำหนดไว้ ซึ่งถูกต้องครบถ้วน ส่วนเป็นบุคคลไหนอย่างไร พรรคไม่มีเวลาจะไปตรวจสอบได้ เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองที่ต้องว่ากันไปตามข้อเท็จจริง

ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าเป็นสินบนทางการเมืองหรือไม่ เพราะหลังจากนั้นนายชัยณัฐร์ก็ได้รับสัญชาติไทยและมีกิจการในประเทศไทยด้วย รมว.ยุติธรรมกล่าวว่า หากเงินเข้าแบบไม่ถูกต้อง ค่อยคิดว่าจะเป็นอะไรอย่างไร แต่เงินนี้เข้ามาตามกฎหมาย เราก็ไม่ได้คิดว่าได้เงินมาจากไหนอย่างไร

ผู้บริหาร พปชร. ยืนยันด้วยว่า “พรรคไม่ได้รู้จักกับนายชัยณัฐร์เป็นการส่วนตัวแน่นอน ถ้ามีก็ถูกยุบพรรค” ซึ่งข่าวสารต่าง ๆ มีได้ทุกวัน แต่จากการสอบถามสมาชิกพรรคก็ไม่มีใครสนิทเป็นพิเศษ

“เขาอาจจะศรัทธาในแนวนโยบายของพรรคพลังประชารัฐ ก็เลยบริจาค” นายสมศักดิ์กล่าวเมื่อ 27 ต.ค.

จาการตรวจสอบข้อมูลบัญชีรายชื่อผู้บริจาคเงินให้แก่พรรคการเมืองย้อนหลัง เผยแพร่โดยสำนักงาน กกต. พบว่า นายชัยณัฐร์เป็นผู้บริจาคเงินให้แก่ พปชร. จำนวน 3 ล้านบาท เมื่อ 5 พ.ค. 2564

ศรีสุวรรณ จรรยา

ที่มาของภาพ, ศรีสุวรรณ จรรยา

คำบรรยายภาพ, ศรีสุวรรณ จรรยา ยื่นเรื่องต่อ กกต. เมื่อ 28 ต.ค. ขอให้ตรวจสอบกรณี พปชร. รับเงินจากนักธุรกิจชาวจีนผู้แปลงสัญชาติเป็นไทย

ชัยณัฐร์ คือใคร

ชื่อของนายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ ปรากฏเป็นข่าวคึกโครมทางหน้าสื่อในช่วง 2 วันมานี้ ภายหลังเจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาลเข้าตรวจค้นสถานบันเทิงในอาคารจินหลิง ย่านยานนาวา-สาทร ซึ่งเปิดให้บริการโดยไม่ได้รับอนุญาต  พบนักท่องเที่ยวซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวจีน 266 คน จับตรวจสารเสพติด พบปัสสาวะเป็นสีม่วง 104 คน และยึดรถยนต์ไว้ 35 คัน

นายชัยณัฐร์ วัย 48 ปี มีชื่อจีนว่า “หาว เจ๋อ ตู้” หรือ “ตู้ห่าว” ถูกเชื่อมโยงกับ “ผับชาวจีน” ตามการรายงานข่าวของสื่อมวลชนหลายสำนัก ทว่ายังไม่มีคำยืนยันอย่างเป็นทางการจากนายตำรวจผู้รับผิดชอบคดีแต่อย่างใด โดยระบุเพียงว่าตำรวจอยู่ระหว่างการสืบสวนขยายผล

พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) กล่าวถึงการกระทำผิดซึ่งมีการเปลี่ยนรูปแบบไป จากเมื่อก่อนเป็น “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” ปัจจุบันมี “ผับศูนย์เหรียญ” ซึ่งรู้กันในหมู่ชาวจีน เมื่อมาถึงจะตรงมาเที่ยวผับนี้เพราะมีทุกอย่างพร้อม เด็กเอนเตอร์เทน เด็กเสิร์ฟเป็นคนจีน มีการใช้ยาเสพติด พร้อมยืนยันจะบังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาด

สำหรับนายชัยณัฐร์ เป็น 1 ใน 5 เสือของกลุ่มนักธุรกิจท่องเที่ยวจีนในไทย เริ่มมาทำธุรกิจในไทยตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท กั่วลี่ กรุ๊ป ก่อนขยายธุรกิจไปอีกหลายสาขาที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวนับ 10 บริษัท ไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจอัญมณีและเครื่องประดับ, ที่นอนยางพารา, รังนก, สมุนไพร, ผ้าไหม เพื่อจำหน่ายให้แก่นักท่องเที่ยว ทั้งใน จ.ภูเก็ต, เมืองพัทยา จ.ชลบุรี และกรุงเทพฯ นอกจากนี้ยังมีธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ด้วย

นักธุรกิจสัญชาติจีนรายนี้ได้รับการแปลงสัญชาติเป็นไทยในปี 2557 ภายหลังสมรสกับตำรวจหญิงชาวไทย ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานอดีตนายตำรวจยศนายพล

กม.พรรคการเมืองว่าอย่างไร

ชื่อของนายชัยณัฐร์ ซึ่งถูกเชื่อมโยงกับ “ผับจีน” ยังข้ามจากข่าวอาชญากรรมมาอยู่ในพื้นที่ข่าวการเมือง และกลายเป็นชนวนเหตุที่อาจนำไปสู่การยุบพรรคแกนนำรัฐบาลอย่าง พปชร. ได้

พระราชบัญญัติ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2561 มาตรา 74 ห้ามมิให้พรรคการเมืองหรือสมาชิกรับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดจาก

  • บุคคลผู้ไม่มีสัญชาติไทย
  • นิติบุคคลที่จดทะเบียนในราชอาณาจักรโดยมีบุคคลผู้ไม่มีสัญชาติไทยมีทุนหรือเป็นผู้ถือหุ้นเกินกว่า 49%
  • คณะบุคคล หรือนิติบุคคลที่ได้รับทุนหรือได้รับเงินอุดหนุนจากต่างประเทศซึ่งมีวัตถุประสงค์ดําเนินกิจการเพื่อประโยชน์ของบุคคลผู้ไม่มีสัญชาติไทย หรือซึ่งมีผู้จัดการหรือกรรมการเป็นบุคคลผู้ไม่มีสัญชาติไทย

ขณะที่มาตรา 72 ระบุว่า ห้ามมิให้พรรคการเมืองและผู้ดํารงตําแหน่งในพรรคการเมืองรับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด โดยรู้หรือควรจะรู้ว่าได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีแหล่งที่มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

หากกระทำการฝ่าฝืนบทบัญญัติดังกล่าว ให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยื่นศาลรัฐธรรมนูญเพื่อสั่งยุบพรรคการเมืองนั้น

เหล่านี้คือข้อกฎหมายที่นายศรีสุวรรณยื่นต่อ กกต. เพื่อขอให้ตรวจสอบ

ตร. ทลายผับ

ที่มาของภาพ, กองบัญชาการตำรวจนครบาล

คำบรรยายภาพ, ตำรวจเข้าทลาย “ปาร์ตี้ยาเสพติด” ที่ผับย่านยานนาวา ซึ่งนายศรีสุวรรณระบุว่า อาจเข้าข่ายเป็นการกระทำที่ขัดต่อศีลธรรมอันดีและจารีตของประเทศ รวมถึงความมั่นคง เพราะนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวเป็นชาวต่างชาติเสียส่วนใหญ่ จึงจำเป็นที่ กกต. ต้องตรวจสอบเชิงลึก

เช่นเดียวกับนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย ที่ออกมาแสดงความตกใจที่ผู้บริหาร พปชร. ออกมายอมรับว่านายชัยณัฏร์บริจาคเงินให้ พปชร. 3 ล้านบาทจริง พร้อมตั้งคำถามผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวโดยใช้หัวข้อว่า “แปลงสัญชาติ แล้วบริจาคเงินให้พรรคการเมือง” สรุปใจความสำคัญได้ ดังนี้

  • นายชัยณัฏร์เป็นคนสัญชาติจีน ทราบตามข่าวต่อมาว่าได้ขอแปลงสัญชาติ จนได้สัญชาติไทย และน่าจะได้สัญชาติไทยตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สัญชาติ มาตรา 12
  • ปัญหามีต่อไปว่า ขณะบริจาค นายชัยณัฏร์สละสัญชาติจีนแล้วหรือยัง เพราะตาม พ.ร.ป.พรรคการเมือง หากยังถือ 2 สัญชาติแล้วมาบริจาคเงินให้พรรคการเมือง สุ่มเสี่ยงต่อการเลี่ยงกฎหมาย พรรคการเมืองที่รับบริจาคจะมีความผิดตามมาตรา 74 อันอาจนำไปสู่การยุบพรรคได้ตามมาตรา 92
  • ต้องดูว่าผับของนายชัยณัฏร์จัดตั้งเป็นนิติบุคคลชื่ออะไร มีใครถือหุ้น สัดส่วนเป็นเช่นไร มีนอมินีถือหุ้นแทนต่างด้าวหรือไม่ ถ้าเป็นเช่นนั้น ต้องดูลึกไปอีกว่าเงิน 3 ล้านบาทของนายชัยณัฏร์เป็นเงินส่วนตัว หรือเงินที่ถอนมาจากนิติบุคคลที่มีนอมินีเป็นผู้ถือหุ้น เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น นิติบุคคลที่เปิดผับก็ถือนิติบุคคลต่างด้าวนั่นเอง บริจาคเงินก็ผิดตามมาตรา 74(2) ยุบพรรคได้
  • พฤติกรรมของนายชัยณัฏร์เข้าข่ายถูกเพิกถอนสัญชาติตามมาตรา 19 แล้ว

นายนิพิฏฐ์ยังเรียกร้องให้ผู้มีอำนาจตอบคำถามต่าง ๆ เหล่านี้ ทั้ง พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อโดย พปชร., รมว.มหาดไทย ผู้อนุญาตให้แปลงสัญชาติ และ กกต.

“ที่เอ่ยนามมาทั้งหมด เราจะเชื่อถือใครได้บ้าง เมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้นกับพรรคพลังประชารัฐ” นายนิพิฏฐ์ตั้งคำถาม

กกต. ว่าอย่างไร

นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. มอบหมายให้สำนักกิจการพรรคการเมืองดำเนินการตรวจสอบเบื้องต้นภายหลังทราบข่าวจากสื่อมวลชนเมื่อ 27 ต.ค. โดยตั้งประเด็นไว้ 3 ประเด็น

1. ผู้บริจาคมีสิทธิบริจาคหรือไม่ : ดูจากตัวเลขตามบัตรประจำตัวประชาชน พบว่าเป็นผู้มีสัญชาติไทย ถือว่าเป็นผู้ที่สามารถบริจาคเงินให้กับพรรคการเมืองได้

2. จำนวนเงินที่บริจาค : พบว่าอยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดคือไม่เกิน 10 ล้านบาท

3. พรรคผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองรู้หรือควรจะรู้ว่าแหล่งที่มาของเงินชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ : อยู่ระหว่างการตรวจสอบ ก่อนทำเรื่องเสนอมายังนายทะเบียนพรรคการเมือง

เลขาธิการ กกต. ยังขอให้ประชาชนสบายใจ ยืนยันว่า กกต. ปฏิบัติเหมือนกันทุกพรรค และขอตรวจสอบให้ได้ข้อเท็จจริงก่อนว่าเป็นอย่างไร